อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 212 ความสุข

ตอนที่ 212 ความสุข

ธุรกิจหลักที่ 6

ฮาร์ดี้ต้องการพัฒนา ‘ธุรกิจเกี่ยวกับความหรูหรา’

“ธุรกิจที่ใช้กำลังผลิตนั้นจะมีรายได้จากขนาดของการผลิต และความหรูหรานั้นสร้างรายได้จากแบรนด์ ซึ่งเรานั้นมีธุรกิจสื่อที่สามารถสนับสนุนการโปรโมทอยู่แล้ว ดังนั้นเราก็สามารถสร้างแบรนด์หรูหราเองได้”

“ปกติกำไรจากการผลิตมักจะอยู่ที่ประมาณ 10% เท่านั้น แต่ในขณะที่อัตรากำไรของสินค้าหรูหรานั้นสูงถึงหลายเท่าหรืออาจจะหลายร้อยเท่า และไม่ว่าจะเป็นสินค้าเครื่องหนัง เสื้อผ้า น้ำหอม ผ้าพันคอผ้าไหม นาฬิกา เครื่องประดับทั้งหมดมีค่าใช้จ่ายเพียง 10 ดอลลาร์เท่านั้น แต่ฉันสามารถเอามันมาขายได้ในราคา 2000 ดอลลาร์…แล้วก็นั่นแหละที่ฉันบอกว่ามันขึ้นอยู่กับมูลค่าของแบรนด์”

“โดยพวกเราอาจจะซื้อหุ้นของแบรนด์หรูหรือสร้างแบรนด์หรูขึ้นมาเองก็ได้ เพราะตราบใดที่เรานั้นมีการโปรโมท สินค้าใดๆ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นสิ่งหรูหราได้”

เมื่อพูดจบฮาร์ดี้ก็มองไปที่แอนดี้

“นอกเหนือจากแผนกปัจจุบันที่ฉันคิดแล้ว กลุ่มของเรายังต้องมีแผนกหนึ่งที่มีความสำคัญมาก”

“แผนกอะไรเหรอครับ?”

“แผนกคลังความคิด”

“ถ้าเปรียบว่าฝ่ายบริหารคือส่วนของร่างกายดังนั้นคลังความคิดก็คือมันสมองของกลุ่ม ซึ่งมันจะช่วยเราในเรื่องเกี่ยวกับการวิจัยและคำปรึกษาด้านนโยบายในอนาคต โดยคลังความคิดนี้จะสรุปข่าวสารของธุรกิจและนำไปออกแบบรายการหรือกำหนดแนวทางของบริษัทได้”

“เพราะยังไงมันสมองแค่คนคนเดียวนั้นอาจจะไม่เพียงพอ และถ้าเรามีกลุ่มคนที่ชาญฉลาดเราก็สามารถใช้พวกเขาสร้างกลุ่มบริษัทที่จะเชื่อมต่อแผนกและบริษัทย่อยๆ เข้าด้วยกันได้”

แอนดี้แสดงความสนับสนุนความคิดของฮาร์ดี้ และเขาก็นำมันกลับไปคิดเพิ่มรายละเอียดเพิ่มเติม 

สองวันต่อมา

ฮาร์ดี้กรุ๊ปได้จัดตั้งการประชุมขึ้นมาครั้งแรกและประกาศแผนของกลุ่มสำหรับสามปีครั้งหน้า

ซึ่งแน่นอนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่สามารถประกาศออกไปได้ และบางอย่างก็ถือเป็นความลับสุดยอดของบริษัทที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้

เพราะยังไงแผนเหล่านี้ก็คืออนาคตของบริษัท หากรั่วไหลออกไปมันก็อาจทำให้ถูกโจมตีจากคู่แข่งหรือพวกเขาอาจแซงหน้าคุณไปได้

หลังจากการประชุมจบลงแต่ละบริษัทแต่ละแผนกจะต้องจัดทำแผนสามปีของตนเองขึ้นมา และแผนของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกส่งมาให้ฮาร์ดี้ตรวจสอบทีละแผน

ตัวอย่างเช่นเหมืองแร่วอลช์ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกที่ฮาร์ดี้เข้าซื้อกิจการ 

ซึ่งอันที่จริงหลังจากที่มันอยู่กับฮาร์ดี้มันก็ทำรายได้ไม่ดีนัก เพราะถึงเขาจะปั่นหุ้นมาหลายครั้งแต่มันก็ยังดูดเลือดของเขาไปหลายล้านดอลลาร์

รอบนี้ฮาร์ดี้ก็เลยวางแผนเปลี่ยนแปลงบริษัทนี้ให้เป็นบริษัทจดทะเบียนที่จะต้องหารายได้เข้ามาให้ได้

เขานั่นได้สั่งให้โคลัมบัสผู้อำนวยการคนปัจจุบันขยายทีมสำรวจแร่เพื่อที่เขานั้นจะได้มีแหล่งแร่อันใหม่มาทำเงิน

“ไม่มีปัญหาครับบอส!”

“แล้วคุณจะเริ่มทำงานยังไง?”

“โอ้ ผมจะเริ่มจากการขยายพื้นที่สำรวจก่อน ซึ่งถ้ามันเป็นไปได้มันก็อาจจะมีเหมืองอยู่ในสหรัฐอเมริกาอยู่บ้าง” โคลัมบัสกล่าว

ฮาร์ดี้ส่ายหัวและหยิบแผนที่ออกมาจากลิ้นชัก “นี่คือแผนที่ของออสเตรเลีย และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากก็บอกกับฉันมาว่าออสเตรเลียตะวันตกนั้นเป็นเขตที่มีแร่มาก แถมที่นั่นก็ยังมีบริษัทอยู่ไม่กี่แห่งมันก็เลยยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจอีกมากที่ผู้คนปล่อยผ่านมันไป”

ต้องบอกว่าแหล่งแร่เหล็ก อลูมิเนียม ถ่านหิน ทองคำและทองแดงนั้นอยู่ที่ออสเตรเลียมากที่สุดในโลก 

แถมตอนนี้ก็เป็นปี 1948 ที่เหมืองขนาดใหญ่หลายแหล่งในยุคนี้ยังไม่ได้รับการค้นพบ 

มันจึงเป็นเวลาที่ดีที่จะนำธุรกิจเหมืองแร่เข้าสู่เขตออสเตรเลีย

ในชีวิตที่แล้วเขาก็เคยไปที่นั่นเหมือนกันและเพื่อนๆ ของเขาก็แนะนำข้อมูลบางอย่างให้เขา เช่น ชื่อสถานที่ไม่กี่แห่งที่มีเหมืองแร่ตั้งอยู่ 

แต่ฮาร์ดี้ก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนสักเท่าไหร่ เขารู้แค่ว่าที่ออสเตรเลียนั้นมีเหมืองแร่กระจุกตัวอยู่ 

เขาก็เลยจะให้โคลัมบัสไปค้นหาส่วนที่เหลือนี้ 

แล้วเขาก็มาจากอนาคตดังนั้นการค้นหาแร่ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก

หลังจากจัดการเรื่องของกลุ่มเสร็จแล้วฮาร์ดี้ก็รู้สึกผ่อนคลายมากๆ

เวลานี้มีประธานและผู้จัดการฝ่ายของบริษัทต่างๆ กำลังรับผิดชอบกิจการของบริษัทแทนเขา 

เพราะถ้าเขานั้นยังทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าอย่างนั้นจะมีพวกเขาไว้ทำไม?

ไม่กี่วันต่อมาแอนดี้ก็เอาข่าวจากเป๊ปซี่มารายงานกับให้ฮาร์ดี้ฟัง

หลังจากวันที่สามของปีใหม่บริษัทเป๊ปซี่ก็รายงานผลประกอบการของปีที่แล้วออกมา 

โดยเมื่อเทียบกับปีที่แล้วรายได้ของเป๊ปซี่ในปี 1947 ได้หดตัวลงอีกครั้ง พร้อมกับกำไรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากผลกระทบจากข่าวในครั้งนี้มันก็ทำให้ราคาหุ้นของเป๊ปซี่ลดลง

แต่มันก็ยังมีข่าวร้ายเกิดขึ้นในตลาดอีก

พวกเขาบอกว่าสถานการณ์ทางการเงินของเป๊ปซี่นั้นย่ำแย่อย่างมากและก็ใกล้จะล่มสลายแล้ว พร้อมกับที่ผู้ถือหุ้นเตรียมที่จะเจรจากับโคคาโคลาอีกครั้งโดยหวังว่าโคคาโคลานั้นจะเข้าซื้อกิจการของพวกเขา

และนี่ก็เป็นครั้งที่สามที่เป๊ปซี่ขอให้โคคาโคลาเข้าซื้อกิจการ

มันก็เลยทำให้หุ้นของพวกเขาลดลงอีกครั้ง

ผ่านไปอีกไม่กี่วัน

ท่อส่งน้ำของเป๊ปซี่ในซานฟรานซิสโกก็ได้รับความเสียหายจนทำให้น้ำหวานของพวกเขาเกือบ 50,000 ลิตรรั่วไหลออกไป พวกเขาก็เลยจำเป็นต้องมีการปิดปรับปรุงและการผลิตก็ถูกหยุดเป็นเวลาสามวัน 

พร้อมกับที่มีการคาดการไว้ว่าการสูญเสียในครั้งนี้อาจมากถึงหลายแสนดอลลาร์

ทันทีที่ข่าวนี้ออกมาราคาหุ้นของเป๊ปซี่ก็ล่วงลงอีกครั้ง

หลังจากข่าวของโกลบอลไทมส์ออกไปนักข่าวของโกลบอลไทมส์ก็เดินทางไปที่บริษัทโคคาโคลาเพื่อถามพวกเขาว่าจะเข้าซื้อเป๊ปซี่หรือไม่? 

ซึ่งประธานของบริษัทโคคาโคลาก็ประกาศชัดเจนว่าจะไม่เข้าซื้อเป๊ปซี่

สุดท้ายผู้วิจารณ์ได้วิเคราะห์ว่า

สองบริษัทเป๊ปซี่และโคคาโคล่าแข่งขันกันเพื่อชิงตลาดมานานหลายทศวรรษ และจากปากของโคคาโคลาพวกเขาบอกว่าเป๊ปซี่นั้นลอกเลียนแบบตัวเองมาโดยตลอด 

ซึ่งจริงๆ แล้วในตลาดนั้นเป๊ปซี่ก็ถูกเรียกว่าของเลียนแบบจริงๆ

เพราะรสชาติของเป๊ปซี่กับโคคาโคล่านั้นเหมือนกัน ดังนั้นโคคาโคลาจะซื้อเป๊ปซี่ไปทำไมในเมื่อมันไม่มีความหมายอะไร? 

ทำไมพวกเขาจะต้องจ่ายหลายสิบล้านดอลลาร์และก็ต้องเจอกฎหมายต่อต้านการผูกขาดด้วยละ?

ดังนั้นความเป็นไปได้ที่โคคาโคล่าจะเข้าซื้อเป๊ปซี่นั้นมีน้อยมาก

แล้วถ้าในอนาคตเป๊ปซี่นั้นไม่พัฒนาตัวเอง พวกเขาก็จะพบกับจุดจบนั่นคือการปิดตัวและล้มละลาย

เมื่อรายงานนี้ออกมาผู้ถือหุ้นต่างก็สูญเสียความเชื่อมั่นในเป๊ปซี่จนเกิดการเทขายอย่างรวดเร็ว 

มันทำให้เวลานี้ราคาหุ้นเริ่มลดลงอย่างรุนแรง 

ซึ่งในช่วงต้นปีราคาหุ้นนั้นจะอยู่ที่ 8.3 ดอลลาร์แต่ในเวลานี้ราคาของมันอยู่ที่ 5.6 ดอลลาร์ต่อหุ้น และมูลค่าของมันในตลาดก็หายไปมากกว่า 5 ล้านดอลลาร์

แม้แต่ผู้ถือหุ้นหลายคนก็หมดความเชื่อมั่นต่อเป๊ปซี่

ไม่นานก็มีข่าวร้ายของเป๊ปซี่ออกมาอีก 

โดยเวลานี้ฮาร์ดี้กรุ๊ปได้เข้าซื้อหุ้นของเป๊ปซี่จนทำให้พวกเขานั้นถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด และในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุดคนจากฮาร์ดี้กุร๊ปกับประธานคนปัจจุบันของเป๊ปซี่วอลเตอร์ก็มีข้อพิพาทกันอย่างรุนแรง 

หลังจากนั้นฮาร์ดี้กรุ๊ปก็กล่าวว่า ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขานั้นอาจจะต้องขายหุ้นของเป๊ปซี่ทิ้งไป

เมื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดกำลังจะจากไปผู้ถือหุ้นรายย่อยเหล่านั้นก็ตื่นตระหนกมากจนทำให้ราคาหุ้นลดลงอีกครั้ง

ขณะที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยกำลังตื่นตระหนก บริษัทการเงินแห่งหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเข้าหาพวกเขาพร้อมกับบอกว่าตัวเองนั้นเต็มใจที่จะซื้อหุ้นเอง 

ผู้ถือหุ้นรายย่อยหลายคนที่สูญเสียความเชื่อในเป๊ปซี่ต่างก็ขายหุ้นของพวกเขาทันที

ด้วยวิธีนี้บริษัทการเงินก็ได้รับหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยคิดเป็นทั้งหมด 18% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด

ในขณะเดียวกันแอนดี้ก็ยังได้ดูดซับหุ้นได้ราวๆ 8% ในตลาดหุ้น

ทำให้ตอนนี้ฮาร์ดี้มีหุ้นอยู่ทั้งหมด 49% และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในเวลานี้

วอลเตอร์ไมค์ก็ถือโอกาสนี้ซื้อหุ้นของเป๊ปซี่ทำให้เวลานี้เขามีหุ้นทั้งหมด 27% และเขาก็ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นอันดับสองของบริษัท

ซึ่งมันมีคำที่ลุงหม่าเคยกล่าวไว้ ‘การที่เราจะเก็บทุนอะไรไว้มันอาจจะต้องนองเลือด’

แล้วเพื่อที่จะสร้างรายได้และควบคุมเงินทุนฮาร์ดี้กับวอลเตอร์ก็ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะปั่นหุ้น 

เมื่อผู้คนเริ่มตื่นตระหนกพวกเขาก็ได้จะดูดซับหุ้นอย่างบ้าคลั่ง

ดังนั้นความสูญเสียทั้งหมดก็จะเกิดกับผู้ถือหุ้นรายย่อยและนักลงทุนนั้นเอง

แล้วพวกคุณคิดว่าการที่เขาเอาหุ้นเข้าจดทะเบียน มันก็เพื่อที่พวกคุณนั้นจะทำเงินได้งั้นเหรอ?

ไม่ ไม่มีวันเลย 

เพราะที่เขาทำนั้นก็เพื่อที่จะได้ดูดเลือดของพวกคุณได้ดียิ่งขึ้นยังไงละ…

วอลเตอร์ไมค์มาเจอกับฮาร์ดี้ในวันถัดไป พร้อมกับวางกล่องที่มีเป๊ปซี่อยู่ในนั้นลง “คุณฮาร์ดี้ฝาแท็บดึงและการสุ่มรางวัลที่คุณพูดในตอนนั้นเราได้จดทะเบียนและจัดทำขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว”

เมื่อเขาพูดจบก็ชี้ไปที่เป๊ปซี่

ฮาร์ดี้หยิบเป๊ปซี่ขึ้นมาหนึ่งขวด และเขาก็คิดว่ามันก็ดูไม่แตกต่างจากขวดโคคาโคล่ามากนัก 

มันยังเป็นขวดสุดคลาสสิกเหมือนเดิมและมีแค่ฝาปิดเท่านั้นที่เปลี่ยนไป 

โดยเมื่อก่อนนั้นมันเป็นแค่ฝาโลหะแต่ตอนนี้มันเป็นฝาอะลูมิเนียมพิมพ์ลายเป๊ปซี่สีน้ำเงินไว้ด้านบนพร้อมกับโลโก้สีแดงและแท็บดึง

ฮาร์ดี้ดึงแท็บออกและฝาขวดก็ถูกเปิดออกช้าๆ พร้อมกับมีเสียงป๊อกเบาๆ 

ฮาร์ดี้ชอบเสียงนี้มากและมันก็ดีกว่าเสียงเปิดกระป๋องด้วย

ซึ่งภายใต้ฝาขวดนั้นจะมีตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างชัดเจน โดยขวดของฮาร์ดี้นั้นถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘ได้รับอีกหนึ่งขวด’

‘ป๊อก ป๊อก ป๊อกๆๆ’

ฮาร์ดี้เปิดทีเดียวห้าหรือหกขวด

โดยบางอันก็จะมีคำว่าขอบคุณสำหรับการอุดหนุน และบางอันก็มีคำว่าอีกหนึ่งขวดสุดท้ายเขาก็โชคดีและได้รับเงินรางวัลเงินสด 50 เซนต์

ฮาร์ดี้วางฝาขวดลงด้วยความพึงพอใจ

“แล้วค่าใช้จ่ายของฝาขวดพวกนี้เท่าไหร่?” ฮาร์ดี้ถาม

“แต่ละฝาขวดจะต้องมีการพิมพ์ตัวอักษรมันก็เลยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาของแต่ละฝาจะประมาณ 0.3 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าฝาโลหะของแบบเก่าถึงสองเท่า” วอลเตอร์กล่าว

ฮาร์ดี้คิดว่าราคานี้มันยอมรับได้

“แล้วโอกาสในการได้รางวัลละ?”

“อัตราส่วนตอนนี้คือ 50% โดยจะมีคำพูดขอบคุณสำหรับการอุดหนุน 45% สำหรับรางวัลเงินสดโอกาสจะอยู่ที่ 5% เริ่มที่ 10 เซนต์และก็ค่อยๆ ลดโอกาสลงไปตามรางวัลที่จะได้รับ ดังนั้นรางวัลทั้งหมดมันก็จะอยู่ที่ประมาณ 100,000 ขวดสำหรับรางวัล 100 ดอลลาร์เพื่อกระตุ้นผู้บริโภค”

“นอกจากนี้สโลแกนของเราก็จะเปลี่ยนไปเน้นที่กลุ่มหนุ่มสาวมากขึ้น”

ฮาร์ดี้พยักหน้า “ฉันจำได้ว่าโคคาโคล่ายังไม่ได้มีการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ใช่ไหม? งั้นเดี๋ยวคุณไปหาเอชดีพิคเจอร์และบอกกับพวกเขาว่าช่วยทำโฆษณาให้เป๊ปซี่แล้วนำมันไปออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์เอบีซีเอาละกัน ส่วนแนวทางของมันจะไม่ใช่ที่รสชาติแต่ให้เน้นที่แท็บดึงอันนี้เลย” 

“ทำให้มันดูง่ายๆ และสนุก พร้อมกับบอกด้วยว่ามีการสุ่มรางวัล”

“และเร็วๆ นี้เราก็จะมีการประกาศรางวัลเพิ่มเติมเข้าไปด้วย เพราะยังไงเมื่อผู้คนเห็นว่ามีรางวัลมันก็จะก่อให้เกิดการประชาสัมพันธ์ไปเอง แล้วจากนั้นเราก็จะให้คนไปสัมภาษณ์คนที่ได้รางวัลเพื่อเอามาออกข่าวทางโทรทัศน์ เมื่อถึงตอนนั้นฉันเชื่อว่าคนจะมาซื้อเป๊ปซี่มากขึ้น”

วอลเตอร์ไมค์พยักหน้ารับทันที

ไม่กี่วันต่อมา

ในช่วงของรายการเวลา 8 โมงเช้าสถานีโทรทัศน์เอบีซีก็มีการออกอากาศรายการของเป๊ปซี่ 

ซึ่งภายในจอเวลานี้กำลังโชว์ให้เห็นกลุ่มหนุ่มสาวที่ตะโกนออกมาว่า

‘ดื่มเป๊ปซี่ เครื่องดื่มที่ดีที่สุดและลุ้นรางวัลไปกับเรา!’

พร้อมกับที่พวกเขานั้นค่อยๆ ดึงฝาขวดออกอย่างง่ายดาย และหลังจากดื่มจนหมดพวกเขาก็พลิกฝาเผยให้เห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ตรงกลาง

มีคนไม่กี่คนที่มองไปที่พวกเขา ก่อนทั้งหมดจะตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “ว้าว ~ ฉันชนะรางวัลหนึ่งร้อยดอลลาร์!”

ต่อไปก็เป็นการแนะนำกฎของการสุ่มรางวัล โดยรางวัลจะเป็นเงินสดที่มีมูลค่าสูงดึง 100 ดอลลาร์

ต้องบอกว่าในยุคนี้เงิน 100 ดอลลาร์นั้นถือว่าเป็นเงินเดือนครึ่งหนึ่งของคนงานธรรมดา

มันไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

เมื่อเป๊ปซี่แบบเปลี่ยนฝาขวดวางจำหน่ายสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ ผู้คนจำนวนมากก็เลยแห่กันไปร้านขายของชำและซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อเป๊ปซี่มากกว่าโคคาโคลาพร้อมกับความหวังที่จะถูกรางวัล

ต้องบอกก่อนว่าความยากจนนั้นถือว่าเป็นกระแสหลักของสังคม และเมื่อตลาดมีของดีราคาถูกมันก็เป็นเรื่องปกติที่สินค้านั้นๆ จะได้รับความนิยม

ไม่กี่วันต่อมา…

ช่วงเวลาข่าวของสถานีโทรทัศน์เอบีซี

พิธีกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้ชมฟัง

ก่อนที่พิธีชายจะพูดขึ้นมาว่า “วันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งซื้อเป๊ปซี่ไปหนึ่งขวด เมื่อเขาเปิดขวดแรกและพลิกฝาดูเขาก็พบว่าเขาได้รับเพิ่มอีกหนึ่งขวด ซึ่งในตอนสุดท้ายเขาก็ได้รับไปถึง 20 ขวด แล้วเมื่อมองไปที่เป๊ปซี่บนโต๊ะเขาก็รู้สึกหมดหนทางที่จะดื่มมันให้หมด เขาก็ทำได้แค่ไปชวนเพื่อนๆ มาช่วยดื่มให้หมดแทน”

พิธีกรหญิงอีกคนหัวเราะ “ฮิฮิ มันช่างน่าสนใจจริงๆ และฉันก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์ของโกลบอลไทมส์ที่บอกข้อมูลเกี่ยวกับการชนะรางวัลใหญ่แล้ว มันบอกว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้มาซื้อเป๊ปซี่ไปหนึ่งขวด แล้วเธอก็พบว่าเธอชนะรางวัล 100 ดอลลาร์! ต้องบอกเลยว่าเธอนั้นช่างโชคดีมากจริงๆ และเธอยังเอาเงินที่ได้ไปซื้อจักรยานคันใหม่ตามที่เธอต้องการได้เลย”

หลังจากข่าวรอบนี้ออกไป ยอดขายของเป๊ปซี่ก็พุ่งขึ้นสูงทันที

โดยในเวลาเพียงสองสัปดาห์ยอดขายของเป๊ปซี่ก็พุ่งขึ้นสูงถึง 800% เมื่อเอายอดขายอันนี้ไปเปรียบเทียบกับของปีที่แล้ว 

แน่นอนว่าถ้ายอดขายยังดีอยู่แบบนี้ในปีนี้พวกเขาอาจจะทำยอดได้ถึง 25 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับได้กำไรราวๆ 3 ล้านดอลลาร์ 

ซึ่งมันจะเป็นตัวเลขที่น่าพอใจอย่างแน่นอน เพราะเมื่อปีที่แล้วเป๊ปซี่ได้สูญเสียเงินไปมากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ 

แต่มันก็ถือว่าใช้เวลานานมากกว่าจะพลิกโฉมได้สวยงามขนาดนี้

เนื่องจากยอดขายที่ร้อนแรงมันก็เลยเป็นเหตุให้การผลิตไม่เพียงพอต่อความต่อการอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง 

เพราะยังไงเวลานี้คนก็อยากซื้อมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

แม้แต่รถบรรทุกขนาดใหญ่ก็ยังมาจอดรออยู่ที่โรงงาน โดยโรงงานตอนนี้ก็กำลังเดินสายผลิตเต็มอัตราแล้วเหมือนกัน

ในเวลาเดียวกันแอนดี้ก็มารายงานให้ฮาร์ดี้ทราบ

เพราะจากการที่ยอดขายนั้นเพิ่มขึ้นและยังมีการโฆษณาออกมาขนาดนี้ ราคาหุ้นของเป๊ปซี่ก็เลยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

มันเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในเวลาสั้นๆ และมันก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นไปอีก 

แน่นอนว่าฝาขวดแบบวงแหวนแท็บนั้นให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก แล้วมันยังเป็นหนึ่งเหตุผลที่นักลงทุนหลายคนรู้สึกถึงการปรับตัวของเป๊ปซี่ 

พวกเขาก็เลยไม่รอช้าที่จะซื้อหุ้นทันที

ซึ่งในตอนแรกฮาร์ดี้นั้นมีหุ้นอยู่ 23% และหลังจากการปั่นหุ้นเรียบร้อยแล้วเขาก็ได้มาอีก 26% ทำให้ตอนนี้เขามีหุ้นทั้งหมดอยู่ 49% พร้อมกับที่ราคาของหุ้นพุ่งสูงขึ้นในเวลานี้หุ้นของเขาก็จะมีมูลค่าอยู่ราวๆ 1,300 ล้านดอลลาร์

ต้องบอกว่าในเวลาเพียงเดือนเดียวเขาก็ทำกำไรไปได้มาก 6 เท่า

มันคือความสุขที่คุณไม่อาจจะจินตนาการได้เลย

Leave a Comment

ไม่ดี!