อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 210 ฮาร์ดี้กรุ๊ปก่อตั้ง

ตอนที่ 210 ฮาร์ดี้กรุ๊ปก่อตั้ง

สองวันต่อมา

ในตอนเย็น

รถบรรทุกขับเข้ามาในสวนหลังบ้านของบริษัทประมูลฮาร์ดี้พร้อมกับที่ชายวัยกลางคนลงจากรถก่อนจะให้คนของเขาขนกล่องไม้สี่กล่องขึ้นไปบนชั้นสอง

ซึ่งกล่องไม้นั้นดูไม่ใหญ่สักเท่าไหร่แต่น้ำหนักของมันนะหนักมากจริงๆ 

พวกเขาต่างก็ยกกล่องขึ้นไปอย่างยากลำบาก และกล่องไม้ก็ส่งเสียงดังเมื่อวางลงบนพื้น

ชายวัยกลางคนเปิดกล้องไม้ออก เผยให้เห็นก้อนทองสีเหลืองอยู่ข้างใน

“คุณวิคเตอร์นี่คือทองคำหนัก 240 กิโลกรัมมูลค่ามากถึง 300,000 ดอลลาร์ และทั้งหมดเป็นทองคำที่ได้รับการรับรองแล้ว คุณสามารถตรวจสอบมันได้เลย”

ในปัจจุบันราคาทองคำของสหรัฐนั้นจะอยู่ที่ 35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งมันจะเท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อทองคำ 28 กรัมและ 1 กรัมนั้นจะเทียบเท่ากับ 1.25 ดอลลาร์นั้นเอง

วิคเตอร์บอกให้คนของเขาเข้าไปตรวจสอบ และพวกเขาก็รีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว 

หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ววิคเตอร์ก็บอกให้ขนย้ายเข้าไปที่ห้องนิรภัย 

ซึ่งเมื่อชายวัยกลางคนได้เห็นคนอเมริกันเหล่านี้ขนย้ายทองไป…

เขาก็รู้สึกเจ็บปวดมาก!

“สำหรับ  300,000 ดอลลาร์ที่เหลือ ผมมีเงินดอลลาร์ให้ 100,000 ดอลลาร์กับ 40,000 ปอนด์ ส่วนที่เหลือผมอยากจะเอาของโบราณมาแลก รบกวนให้ผู้ประเมินมาตรวจสอบด้วย” ชายวัยกลางคนกล่าว

วิคเตอร์ส่งคนลงไปที่รถบรรทุกทันทีเพื่อขนของโบราณและบอกให้พวกเขานำกล่องไม้ขนาดใหญ่ออกจากรถบรรทุก 

หลังจากเปิดกล่องออกมันก็ยังมีกล่องที่ใส่ของโบราณหลายชิ้นหลายขนาดอยู่ในนั้น

ผู้ประเมินหลายคนเริ่มทำงานกันทันที

“พระราชวังแกะสลักงาช้างลายเมฆกับลูกบอลลายมังกร อืม…ราคา 350 ดอลลาร์”

“งานเขียนของราชวงศ์หมิงของเหวินเจิ้งหมิงทั้งหมดหนึ่งพันตัวอักษร ราคา 800 ดอลลาร์”

“รูปภาพสตรีถังหยิน ราคา 1,260 ดอลลาร์”

“แจกันหยก ราคา 1,680 ดอลลาร์”

“สร้อยข้อมือหยกที่สภาพสมบูรณ์มาก! 2,400 ดอลลาร์”

“ชามเคลือบขนาดเล็กสมัยราชวงศ์ชิงราคา 185 ดอลลาร์”

“รูปภาพของฉีไปซี่ราคา 600 ดอลลาร์”

“ภาพวาดดอกเบญจมาศของฉีไปซี่ราคา 320 ดอลลาร์”

“ภาพวาดแมลงและนกของฉีไปซี่ราคา 380 ดอลลาร์”

“ภาพวาดทิวทัศน์ของฉีไปซี่ราคา 310 ดอลลาร์”

วิคเตอร์มองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความสงสัย “ฉีไปซี่คนนี้เขาเป็นจินตกรงั้นเหรอ? ทำไมเขาถึงวาดภาพเยอะขนาดนี้”

ชายวัยกลางคนยิ้มตอบ “ผู้เฒ่าฉีไปซี่นั้นเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศของเรา เขานั้นถือว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางศิลปะมากคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนนั้นภาพวาดอันหนึ่งของเขานั้นสามารถแลกบ้านในเมืองใหญ่ที่ประเทศจีนได้อย่างง่ายดาย”

ชายวัยกลางคนพูดหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเขานั้นกลัวว่าชายต่างชาติคนนี้จะรู้ว่าฉีไปซี่นั้นยังไม่ตายและราคาที่เขาได้นั้นจะไม่สูงพอ

โดยเพื่อที่จะหาเงินมาเขานั้นได้ไปซื้อภาพของฉีไปซี่มาหลายสิบภาพในทีเดียว 

ซึ่งความคิดของเขานั้นก็เรียบง่ายมาก 

เพราะตราบใดที่คุณฉียังมีชีวิตอยู่เขาก็ยังคงสามารถหาภาพวาดชุดอื่นๆ ได้อีก 

แต่แน่นอนว่าภาพวาดเหล่านี้ก็ยังถือขายได้ราคาสูงจริงๆ และมันก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศด้วยเหมือนกัน

หลังจากตรวจสอบราคาเรียบร้อยแล้ว

มันก็มีของโบราณที่ชายวัยกลางคนเอามาทั้งหมด 465 ชิ้นและราคาก็คือ 315,000 ดอลลาร์…

มันสูงกว่าที่เขาคิดมาก และชายวัยกลางคนก็แปลกใจอีกครั้งที่วิคเตอร์นั้นทำธุรกิจได้อย่างซื่อตรงมาก 

เมื่อคนประเมินราคา ทองคำ เงินสด ของโบราณ พวกเขาก็บอกว่าราคาของมันนั้นสูงกว่า 600,000 ดอลลาร์อย่างมาก 

โดยตัวเขาเองนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่าบริษัทประมูลนี้จะให้ราคาสูงกว่าที่เขาคิด

“งั้นคุณวิคเตอร์ผมขอเงินทั้งหมดคืน และใช้ของโบราณเหล่านี้แลกเปลี่ยนแทนได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนถาม

“ไม่มีปัญหา!” วิคเตอร์กล่าว

ชายวัยกลางคนมีความสุขขึ้นมาทันที

เพราะยังไงเวลานี้เงินดอลลาร์กับเงินปอนด์ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น และมันก็สามารถเอาไปซื้ออะไรก็ได้ 

ส่วนของโบราณนั้นมันไม่มีทางทำได้เลย เพราะมันคงไม่มีใครรับของโบราณแลกกับเงินหรือของใช้อื่นๆ หรอก

“แล้วเงินที่เกินมาอีก 10,000 ดอลลาร์ล่ะ?” ชายวัยกลางคนถาม

“คุณก็เอาเงินสดกลับไปหรือไม่ก็แลกเป็นของโบราณแทน” วิคเตอร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ผมต้องการเงินสด” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างรวดเร็ว

ต้องบอกก่อนว่าที่อื่นนั้นไม่มีทางได้ราคานี้แน่ๆ เพราะเวลานี้ยังอยู่ในช่วงสงคราม ดังนั้นมูลค่าของโบราณเหล่านี้ก็กำลังตกต่ำอย่างถึงที่สุด

แถมหลายคนๆ ก็อยากแลกของโบราณเป็นเงินสดมากกว่า และตอนนี้บริษัทประมูลฮาร์ดี้ก็เป็นบริษัทที่ยุติธรรมที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

ซึ่งเวลานี้ชายวัยกลางคนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

“คุณวิคเตอร์ครับ เพื่อนผมก็มีของโบราณเหมือนกันและถ้าผมชักชวนพวกเขามาขายของโบราณมันจะได้ราคาตามนี้ไหม?” ชายวัยกลางคนถาม

“ราคาเดียวกันตราบเท่าที่มันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์” วิคเตอร์กล่าว

เพนิซิลลินสามกล่องใหญ่ถูกโหลดขึ้นรถบรรทุกและชายวัยกลางคนก็จากไปพร้อมกับรอยยิ้ม 

แน่นอนว่าวิคเตอร์ก็ยิ้มเหมือนกันหลังจากชายวัยกลางคนจากไป

พวกคุณคิดว่าผมนั้นไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรจริงๆ เหรอ?

ผมก็แค่กำลังวางเหยื่อหล่อเพื่อที่จะจับปลาตัวใหญ่ๆ เท่านั้นเอง

เพราะหลังจากชายคนนี้ไปพูดให้เพื่อนๆ ของเขาฟัง เขาก็แค่รอคนมาขายของโบราณให้และตอนนั้นเขาก็จะได้รับของโบราณเยอะขึ้นไปอีก

ซึ่งเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมบอสฮาร์ดี้ถึงชอบของพวกนี้? 

หรือบางทีบอสอาจจะกำลังเก็บไว้ให้คุณฮันเยจินก็ได้ เพราะยังไงคุณฮั่นก็เป็นคนจีน

และตราบใดที่บอสของเขาชอบมันสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นแรงจูงใจให้เขาทำงานเหมือนกัน 

แถมบอสของเขาก็ร่ำรวยมากอยู่แล้ว 

ดังนั้นการประหยัดเงินแค่ไม่กี่หมื่นดอลลาร์ บอสของเขาก็อาจจะไม่สนใจมันเลยก็ได้… 

แต่ถ้าบอสนั้นเห็นของโบราณสวยๆ งามๆ เหล่านี้ เขาจะต้องรู้แน่ๆ ว่าผมนั้นทำงานหนักแค่ไหน

ซึ่งวิคเตอร์นั้นได้ศึกษาธรรมชาติของมนุษย์มาเป็นอย่างดี

สองวันต่อมา

ชายวัยกลางคนอายุราวๆ สามสิบก็เดินเข้าไปในโรงประมูลฮาร์ดี้

“สวัสดีครับ ท่านต้องการขายของโบราณใช่ไหมครับ?” พนักงานถาม

“ฉันต้องการคุยกับคุณวิคเตอร์ คุณช่วยไปบอกเขาให้หน่อยนะ” ชายคนนี้พูด

พนักงานของร้านมองไปที่ชายคนนี้ เขานั้นสวมเสื้อคลุมสีเทาพร้อมกับหมวกทรงสูงบนหัวและท่าทางการพูดของเขานั้นก็อ่อนโยนเหมือนกับสำเนียงของคนชนชั้นสูงในฮ่องกง

“ได้ครับท่าน แต่รอที่นี่สักครู่นะครับ ผมจะไปแจ้งเตือนเจ้านายให้ทราบ”

พนักงานของร้านไปแจ้งวิคเตอร์และพนักงานก็ใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินกลับมา “เจ้านายของเราขอเชิญท่านขึ้นไปชั้นสองครับ”

ชายคนนี้พยักหน้าขอบคุณก่อนจะเดินขึ้นไป

เมื่อชายคนนี้ขึ้นมาแล้ววิคเตอร์ก็มองก่อนจะถามว่า “คุณต้องการอะไรจากผมอย่างนั้นเหรอ?”

ชายคนนี้ถอดหมวกออกและพูดอย่างสุภาพว่า “สวัสดีคุณวิคเตอร์ ผมชื่อซูและต้องการเพนิซิลลินจากคุณสักชุดหนึ่ง”

วิคเตอร์เป็นคนที่ฉลาดมากและเขาก็เห็นทันทีว่าบุคคลนี้อาจอยู่ในสถานการณ์เดียวกับชายวัยกลางคนในรอบที่แล้ว 

แต่ทั้งสองคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกันแน่นอน

“เพนิซิลลินขายหมดแล้ว” วิคเตอร์กล่าว

คุณซูตกตะลึงจนเผยสีหน้าวิตกกังวลออกมา “มันขายหมดแล้วจริงๆ เหรอคุณวิคเตอร์”

“ใช่ครับและผมก็เกรงว่าคุณอาจจะต้องรอเดือนหน้าถึงของจะมา แต่คุณต้องการซื้อมันสักเท่าไหร่ล่ะ?” วิคเตอร์ถาม

คุณซูถอนหายใจและคิดในใจว่าถ้ามันมีสต๊อกอีกเขาก็ไม่เป็นไรที่จะรออีกสักสองสามวัน “แล้วราคามันเท่าไหร่หรือครับ?”

“ขวดละ 15 ดอลลาร์”

“ผมขอราคาถูกกว่านี้ได้ไหม เพราะผมอยากจะซื้อสัก 20,000 ขวด?” คุณซูถาม

“งั้นก็ 13 ดอลลาร์ ไม่ลดราคาอีกแล้ว” วิคเตอร์กล่าว

แน่นอนว่าซูนั้นก็รู้มาว่าอีกคนก็ซื้อราคานี้และเขาก็ไม่สามารถต่อรองราคาอะไรได้อีกเหมือนกัน 

ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบตกลง

“แล้วผมต้องจ่ายยังไง?”

“เงินถูกกฎหมายทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ดอลลาร์ ปอนด์ หรือทองคำ เครื่องประดับ หยก และของโบราณ ซึ่งทั้งหมดนี้ผมรับหมด เพราะยังไงที่นี่ก็เป็นบริษัทประมูลผมสามารถประเมินราคาให้คุณได้เลย” วิคเตอร์พูดเหมือนกับครั้งที่แล้วกับคุณซู

“ตกลงครับคุณวิคเตอร์ แต่เดี๋ยวผมขอเวลาสักครึ่งเดือนสำหรับการรวบรวมเงินและจะกลับมาอีกครั้ง” หลังจากพูดจบเขาก็ลุกออกไป

หลังจากที่คนคนนี้จากไป

วิคเตอร์ก็คาดเดาตัวตนของพวกเขาได้ราวๆ 80%

“ถ้าลองคิดดูดีๆ เขาน่าจะไม่ได้ต้องการแค่ 20,000 ขวดหรอก แต่ก็รอของอีกชุดมาส่งก่อนดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นเราก็จะได้รู้ว่าเท่าไหร่กันที่เขานั้นต้องการ” วิคเตอร์พึมพำกับตัวเอง

หลังจากผ่านไป 10 วันสินค้าชุดที่สองก็ส่งมาถึงฮ่องกง วิคเตอร์บอกให้คนของเขารีบไปเอาเพนิซิลลินกลับมาบริษัทประมูลทันที และในวันต่อมาชายวัยกลางคนที่ชื่อซูก็กลับมาอีกครั้ง

“คุณวิคเตอร์ครับ ผมมารับสินค้า”

หลังจากชายวัยกลางคนพูดจบเขาก็หยิบเช็คเงินสดออกมาจากกระเป๋า “คุณวิคเตอร์ครับนี่เช็คเงินสดจำนวน 260,000 ดอลลาร์ที่ออกโดยธนาคารซิตี้แบงก์”

เขาผลักเช็คไปที่ด้านหน้าของวิคเตอร์

ซึ่งวิคเตอร์ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะเดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะเอาทองคำหรือของโบราณมาแลกเปลี่ยนกับยาแทนเงินสดซะอีก 

เขานั้นไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะนำเช็คเงินสดของธนาคารมาให้เขาแบบนี้ 

วิคเตอร์หยิบเช็คขึ้นมาดู

“ผมต้องการไปที่ธนาคารซิตี้แบงก์เพื่อตรวจสอบมันก่อน”

ต้องบอกว่าเขานั้นเคยเล่นกับเช็คปลอมมาก่อนและเขาก็กลัวว่าเช็คที่อีกฝ่ายให้มานั้นจะเป็นของปลอม 

แล้วถ้าเช็คนี้เป็นของปลอมมันก็จะถือว่าเขานั้นสูญเสียครั้งใหญ่อย่างมาก

“ไม่มีปัญหาครับ”

วิคเตอร์ขับรถไปที่ธนาคารซิตี้แบงก์และก็ขอคุยกับคาร์ลสันผู้จัดการของธนาคารโดยตรง 

ซึ่งการพบกันครั้งสุดท้ายพวกเขาทั้งสองนั้นมีช่วงเวลาพูดคุยที่ดีอยู่บ้าง มันก็เลยทำให้ทั้งสองกลายมาเป็นเพื่อนกันนั่นเอง

“คาร์ลสัน ช่วยฉันดูหน่อยว่าเช็คใบนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

หลังจากตรวจสอบโดยคาร์ลสันกับพนักงานขายสองคน พวกเขาก็บอกว่าเช็คนั้นใช้ได้จริงและหมายเลขบัญชีก็ถูกต้องแล้ว

“งั้นคาร์ลสันเช็คนี้มาจากไหน?” วิคเตอร์ถาม

ปกติธนาคารนั้นต้องรักษาความลับของลูกค้า และเดิมทีเรื่องพวกนี้ก็ไม่สามารถเอาออกมาพูดได้ 

แต่เช็คอันนี้วิคเตอร์เป็นคนเอามาให้คาร์ลสัน เขาก็เลยคิดว่าวิคเตอร์น่าจะเป็นเจ้าของมัน

“เช็คใบนี้มาจากสาขาซานฟรานซิสโก” คาร์ลสันกล่าว

วิคเตอร์ขอบคุณอีกฝ่ายและก็กลับไปที่บริษัทประมูลพร้อมกับเช็ค 

ซึ่งคุณซูนั้นก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ห้องรับแขกและวิคเตอร์นั้นก็ออกไปข้างนอกนานมากกว่าหนึ่งชั่วโมง แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทางผิดปกติอะไรเลย 

มันแสดงให้เห็นว่าชายคนนี้น่าจะแข็งแกร่งอยู่บ้างแน่ๆ

“คุณวิคเตอร์เช็คมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” คุณซูถาม

วิคเตอร์ยิ้ม “ไม่เลยทุกอย่างปกติ และคุณจะไปเอายาตอนไหนก็ไปเอาได้เลย”

“ในเมื่อเช็คไม่มีปัญหาอะไร งั้นเดี๋ยวผมกลับมาเอายาทีหลัง ขอบคุณมากคุณวิคเตอร์” คุณซูลุกขึ้นยืน

“ขอบคุณสำหรับธุรกิจ” วิคเตอร์ยิ้ม

หลังปีใหม่ฮาร์ดี้ก็ยุ่งมากเช่นกัน

ในชั่วพริบตามันก็เข้าสู่ปี 1948

ซึ่งเขานั้นอยู่ในโลกนี้มาสามปีแล้ว

และเมื่อวันที่ 8 มกราคมฮาร์ดี้ก็ได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลของลาสเวกัสสำหรับการก่อตั้ง ‘ฮาร์ดี้กรุ๊ป’

โดยฮาร์ดี้กรุ๊ปนั้นจะมีที่ตั้งอยู่ที่ลาสเวกัส ซึ่งรัฐบาลของลาสเวกัสนั้นก็ให้การต้อนรับกับพวกเขาอย่างอบอุ่น 

เพราะยังไงไม่ว่าจะเป็นที่ไหนพวกเขาก็หวังจะได้มีการพัฒนา และทุกอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาษีแต่มันจะเป็นบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง

ไม่กี่วันต่อมา

ฮาร์ดี้กรุ๊ปก็จัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่ฮาร์ดี้โฮเทล และสถานีโทรทัศน์เอบีซีกับลาสเวกัสต่างก็ถ่ายทอดสดงานทั้งหมด พร้อมกับที่เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของเมืองนี้อยู่ที่นี่

สมาชิกสภาคองเกรสจากรัฐเนวาด้าก็มาแสดงความยินดีกับเขาด้วย ซึ่งคนคนนี้นั้นเป็นเพื่อนของนายกเทศมนตรีและเขาก็เคยพาครอบครัวมาเที่ยวลาสเวกัสเมื่อปีที่แล้ว 

แน่นอนว่าฮาร์ดี้โฮเทลนั้นให้บริการกับพวกเขาฟรีๆ เพราะฮาร์ดี้ก็ยังเป็นเพื่อนกับสมาชิกสภาคนนี้ด้วย

ที่งานนายกเทศมนตรีกำลังขึ้นพูดว่าการปรากฏตัวของฮาร์ดี้กรุ๊ปในครั้งนี้จะช่วยยกระดับเมืองลาสเวกัสได้อย่างแน่นอน 

ซึ่งการพัฒนาเมืองในส่วนอื่นๆ มันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ฮาร์ดี้พูดเสริมอีกว่าฮาร์ดี้กรุ๊ปนั้นจะลงทุนในการก่อสร้างโรงแรมขนาดใหญ่สองแห่งในลาสเวกัสที่อนาคตอันใกล้นี้ด้วยขนาดการลงทุนที่ 200 ล้านดอลลาร์ 

เมื่อมันสร้างเสร็จลาสเวกัสตอนนั้นก็จะกลายเป็นเมืองหลวงด้านการท่องเที่ยวและความบันเทิงอย่างแท้จริง 

ซึ่งทั้งสองแห่งนี้จะมีชื่อเรียกว่า ‘ซีซาร์พาเลซ’ กับ ‘เดอะเวเนเชี่ยน’ 

โดยทั้งสองนั้นจะเป็นศูนย์รวมด้านความบันเทิง แหล่งช้อปปิ้ง การพนัน การท่องเที่ยว และกิจกรรมระดับนานาชาติ

เวลาในการก่อสร้างแล้วเสร็จนั้นคาดว่าน่าจะใช้เวลาถึง 2 ปี

ในช่วงเวลานี้ฮาร์ดี้กรุ๊ปก็จะทำการสร้างอาคารของ ‘ฮาร์ดี้กรุ๊ป’ ที่สูงมากกว่า 230 เมตรและคาดว่าจะมี 69 ชั้น

พร้อมกับการสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่หลายสิบเอเคอร์สำหรับลาสเวกัสโดยเฉพาะ 

ซึ่งจุดประสงค์ของมันก็เพื่อเป็นโรงพยาบาลให้กับคนที่อยู่ในเมืองนี้ 

นอกจากนี้ยังมีการสร้างมหาวิทยาลัยแห่งแรกในลาสเวกัสด้วย 

โดยทางฮาร์ดี้กรุ๊ปได้ไปเจรจากับมหาวิทยาลัยของรัฐเนวาดาแล้ว 

ดังนั้นมหาวิทยาลัยซิดนีย์แห่งนี้ก็จะเป็นสาขาย่อยของมหาวิทยาลัยรัฐเนวาดา

Leave a Comment

ไม่ดี!