ตอนที่ 204 เข้าร่วมสมาคมแคลิฟอร์เนีย
“นายได้ยินข่าวลือเมื่อเร็วๆ นี้ไหม?” ฮาร์ดี้บอกให้จอห์นนั่งลงก่อนจะถามเขาด้วยรอยยิ้ม
“ผมได้ยินว่าผู้ถือหุ้นจะจัดการประชุมขึ้นมา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครติดต่อมาหาผมเลย และเดิมทีผมก็กำลังจะติดต่อไปหาพวกเขาเพื่อถามถึงการประชุมที่จะเกิดขึ้น ทว่าคุณกลับติดต่อมาหาผมก่อน” ประธานจอห์นกล่าว
ฮาร์ดี้ยิ้ม “อันที่จริงนายไม่ต้องติดต่อไปหาพวกเขาแล้วล่ะ เวลานี้ผู้ถือหุ้นได้ลงนามซื้อขายกับธนาคารแห่งอเมริกาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพวกเขาก็จะไม่ใช่ผู้ถือหุ้นอีกต่อไป และฉันก็มีหุ้นของเวลส์ฟาร์โก 46% อยู่ในมือ ซึ่งฉันนี่แหละที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด”
จอห์นมองไปที่ฮาร์ดี้ด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าเขาจะคาดเดาไว้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าฮาร์ดี้จะสามารถกวาดหุ้นทั้งหมดได้เร็วขนาดนี้
“งั้นผมก็เรียกคุณว่าหัวหน้าสินะครับ แล้วการที่คุณเรียกผมมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะสั่งอะไรกับผมเหรอ? หรือว่าคุณจะไล่ผมออกเลย?” จอห์นถาม
ฮาร์ดี้ยิ้มและส่ายหัวของเขา “ไม่ ฉันไม่ได้จะมาไล่นายออกหรอก ยังไงเราก็ติดต่อกันแต่เรื่องดีๆ มาโดยตลอดใช่ไหม? แล้วความคิดของนายสำหรับ ‘การให้บริการลูกค้าด้วยบริการที่ดีที่สุด’ ก็สอดคล้องกับความคิดของฉัน ดังนั้นจอห์นที่ฉันมาหานายในวันนี้ก็เพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของนาย”
“ซึ่งฉันก็หวังว่านายจะเป็นประธานต่อไปและทำให้เวลส์ฟาร์โกลายเป็นธนาคารที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกาให้ได้ แล้วเงินเดือนต่อปีที่นายได้รับเวลานี้คือเท่าไหร่?”
“26,000 ดอลลาร์ครับ”
“ฉันจะเพิ่มให้นายเป็น 30,000 ดอลลาร์ ในเวลาเดียวกันเงินเดือนของนายก็จะเพิ่มขึ้นทีละ 5% ทุกปี พร้อมกับที่จะรับผลกำไรของธนาคารที่ 5 ใน 10,000 อีกด้วย” ฮาร์ดี้กล่าว
หัวใจของจอห์นสั่นไหวเล็กน้อย
ยังไงก็ไม่มีใครต่อต้าน ‘เงิน’ ได้หรอก แล้วการที่เขาทำงานมันก็เพื่อหาเงิน…
แถมถ้าเขายังทำงานอยู่ที่เดิม เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นทุกปีและยังได้ค่าคอมมิชชั่นที่เป็นสิ่งทำให้ใจของจอห์นถูกล่อลวงมากจริงๆ คิดดูว่าถ้าเขาทำกำไรได้ 100 ล้านดอลลาร์ เขาก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นที่ 50000 ดอลลาร์ ซึ่งมันสูงกว่าเงินเดือนต่อปีของเขาอีก!
(//5:10000 ดอลลาร์ >100 ล้าน:50000 ดอลลาร์ )
และจริงๆ แล้วเป้าหมายนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะบรรลุ
เพราะหลังจากที่ฮาร์ดี้กรุ๊ปได้เข้าซื้อกิจการของธนาคารเวลส์ฟาร์โก ตัวมันเองก็จะกลายเป็นธนาคารหลักของฮาร์ดี้กรุ๊ป ทุกการใช้งานจะอยู่ที่ธนาคารนี้ และเขาก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของฮาร์ดี้กรุ๊ปมากกว่าใครๆ
ถึงในอดีตธนาคารเวลส์ฟาร์โกจะเป็นแค่ธนาคารที่อยู่เบื้องหลัง แต่เวลานี้เมื่อมีการสนับสนุนหลัก เขาก็เชื่อว่ามันจะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
“แล้วคุณฮาร์ดี้ต้องการให้ผมทำอะไรหรือครับ?” จอห์นถาม
“งานง่ายๆ ก่อนที่ฉันจะเข้าซื้อสำเร็จ ฉันอยากให้นายรักษาเสถียรภาพของภายในไว้ก่อน เพราะสิ่งที่ฉันอยากได้ก็คือธนาคารที่พร้อมทำงานแล้ว” ฮาร์ดี้กล่าว
จอห์นพยักหน้า “วางใจได้เลยครับคุณฮาร์ดี้ ผมจะทำมันได้ดีอย่างแน่นอน”
การเข้าซื้อกิจการของเวลส์ฟาร์โกนั้นมีแรงต่อต้านน้อยกว่าที่ฮาร์ดี้คิดมาก ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นว่าสมาคมนั้นมีพลังมากจริงๆ
แต่ถ้าจะให้พูดยังไงแค่บริษัทเดียวหรือแม้แต่ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจของสมาคมที่รวมบริษัทหัวกะทิไว้ได้หรอก
ถึงคุณอาจจะเป็นคนดื้อรั้น
แต่จุดจบของคุณก็คือสินทรัพย์ที่ค่อยๆ ลดลงหรือแม้แต่ธุรกิจในอนาคตที่จะเกิดก็คงจะไม่ได้ดำเนินต่อไป
เห็นไหมว่าผู้ก่อตั้งฟาร์โกก็ยังเลือกที่จะขายหุ้นของพวกเขา และนับประสาอะไรกับผู้ถือหุ้นรายย่อยคนอื่นๆ?
…
ธนาคารแห่งอเมริกาใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนสำหรับการซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ
ไม่กี่วันต่อมา…
ตลาดได้มีข่าวใหญ่ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
เวลส์ฟาร์โกกำลังเตรียมที่จะเพิกถอนออกไป
โดยการเพิกถอนหุ้นมักจะเกิดจากการที่หุ้นมีมูลค่าต่ำเกินไป ทุนเรือนหุ้นไม่เกี่ยงพอ จำนวนผู้ถือหุ้นไม่เพียงพอ เกิดการฉ้อโกง ซึ่งเวลานี้เวลส์ฟาร์โกได้สมัครใจเพิกถอนด้วยตัวเองและชำระเงินของหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เวลส์ฟาร์โกจะไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนอีกต่อไป
แล้วทำไมฮาร์ดี้ถึงปล่อยให้เวลส์ฟาร์โกเริ่มเพิกถอนตัวไปอย่างนั้นเหรอ?
เหตุผลง่ายๆ ก็คือเขากำลังเตรียมตัวซื้อหุ้นทั้งหมดของธนาคารเวลส์ฟาร์โก เพราะยังไงที่นี่ก็มีไว้แค่เก็บเงินและฮาร์ดี้ก็คิดว่าบริษัทอื่นสามารถเก็บเงินแทนธนาคารได้
แต่มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
แน่นอนว่าการเพิกถอนออกไปนั้นยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก เพราะหลังจากเพิกถอนแล้ว มันก็ไม่จำเป็นต้องรายงานการเงินของตัวเองออกไปและยังสะดวกที่จะทำงานลับๆ บางอย่างอีกด้วย
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
คริสต์มาสใกล้จะถึงแล้วและข่าวก็ออกมาอีกครั้งว่าธนาคารแห่งอเมริกาได้ส่งมอบธนาคารเวลส์ฟาร์โกให้กับทอมฮาร์ดี้ที่เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์เอบีซี ทำให้ตั้งแต่นั้นมาเวลส์ฟาร์โกก็ได้เป็นสมบัติส่วนตัวของทอมฮาร์ดี้
และการที่เขานั้นยืมเงิน 160 ล้านดอลลาร์จากธนาคารแห่งอเมริกาก็เพื่อจุดประสงค์นี้
โดยเงินกู้ที่ยืมจากธนาคารแห่งอเมริกานั้นจะอยู่ในชื่อของฮาร์ดี้ มันก็เลยเป็นเหตุให้เวลส์ฟาร์โกตกเป็นสินทรัพย์ส่วนบุคคลของฮาร์ดี้ทันทีและมันจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจกับบริษัทอื่นๆ ของเขา
…
อาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารเวลส์ฟาร์โกที่ซานฟรานซิสโก
ฮาร์ดี้พาแอนดี้ไปพบกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของเวลส์ฟาร์โกและจอห์นสตันก็แนะนำรองประธานกับหัวหน้าแผนกให้กับฮาร์ดี้
รวมทั้งฝ่ายธนาคาร ฝ่ายจัดการลงทุน ฝ่ายจัดการเงินทุน ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ฝ่ายกฎหมายองค์กร ฝ่ายกิจการองค์กร
นอกจากนี้ยังมีประธานของสาขาอื่นๆ อีกด้วย
ฮาร์ดี้พูดกล่าวสุนทรพจน์สั้นๆ และบอกกับผู้บริหารว่าจะไม่มีการเคลื่อนย้ายบุคลากรอะไรทั้งนั้น พร้อมกับบอกพวกเขาว่าให้ทำงานต่อไปด้วยความสบายใจได้
ในเวลาเดียวกันเขายังบอกอีกว่าฮาร์ดี้จะจัดตั้งฮาร์ดี้กรุ๊ปขึ้นมา และในอนาคตเวลส์ฟาร์โกก็จะกลายเป็นแกนหลักเกี่ยวกับการเงินของฮาร์ดี้กรุ๊ป แล้วในอนาคตเงินทุนทั้งหมดที่เข้ามาก็จะตกเป็นของเวลส์ฟาร์โก
ซึ่งตอนนี้เขามีธนาคารแล้ว การดำเนินงานด้านกองทุนของฮาร์ดี้กรุ๊ปก็จะราบรื่นขึ้นไปอีกในอนาคต
ยังไงเวลส์ฟาร์โกก็เป็นธนาคารที่ให้บริการเต็มรูปแบบอยู่แล้ว ซึ่งรวมถึงธนาคารท้องถิ่น บริการทางการเงิน การลงทุน ประกันภัย และธุรกิจสินเชื่อต่างๆ
โดยฮาร์ดี้คิดว่าการพัฒนาก่อนหน้านี้ของพวกเขาค่อนข้างอนุรักษนิยมเกินไป
เพราะเวลานี้มันเป็นธนาคารที่มีประวัติอยู่ยาวนานหลายสิบปีแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นธนาคารขนาดเล็กที่อยู่ในแคลิฟอร์เนียแล้วก็ไม่ได้ออกไหนเลย
แน่นอนว่ามันก็มีข้อดีเช่นกันโดยที่ภายในบริษัทนั้นจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัว
“ในอนาคตเวลส์ฟาร์โกจะเข้าสู่ช่องทางการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และผมก็หวังว่าภายใน 3 ปีนี้ ทุกเมืองในสหรัฐอเมริกาจะต้องมีสาขาของเวลส์ฟาร์โกอย่างน้อย 1 แห่ง พร้อมกับที่เราจะเตรียมขยายธุรกิจออกไปนอกประเทศด้วย การที่ทำแบบนี้มันก็เพื่อการพัฒนาได้เร็วขึ้นพร้อมกับควบรวมกิจการไปด้วยกัน”
“ส่วนสำคัญก็คือ ลูกค้า เราต้องเริ่มคิดหาทางที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้า อาจจะไปติดต่อบริษัทน้ำและไฟฟ้าให้ทำข้อตกลงว่าจะร่วมมือเก็บค่าน้ำค่าไฟให้”
“แล้วบริษัทรับเดิมพันของฮาร์ดี้คาสิโนก็มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านดอลลาร์อยู่ในธนาคารเวลส์ฟาร์โก และเงินจำนวนนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานถึงสองสามแสนคน ในอนาคตคาสิโนอีกสองแห่งของฮาร์ดี้กรุ๊ปจะเปิดทำการและจะมีบริษัทตัวแทนเกิดขึ้นมาอีกมากดังนั้นจำนวนลูกค้าก็จะเพิ่มขึ้นอย่าง ทวีคูณ”
ฮาร์ดี้คิดเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง โดยเมื่อทุกเมืองมีสาขาของธนาคารเวลส์ฟาร์โกแล้ว เวลานั้นคาสิโนก็จะค่อยๆ ถูกสร้างขึ้น พร้อมกับทำรายการจับลอตเตอรี่ไปด้วย ซึ่งในอนาคตมันจะมีคาสิโนถึง 3 แห่ง และเวลาก็จะแตกต่างกันทุกๆ ครึ่งชั่งโมง เขาก็เลยจะเอาเกมลอตเตอรี่จำนวนมากในอนาคตมาใช้
เพราะยังไงถ้าผู้คนอยากมาเล่นการพนันที่ลาสเวกัส พวกเขาก็ต้องหาเวลาว่างไว้ แต่สำหรับรายการลอตเตอรี่นั้นมันไม่ต้องใช้เลย คุณสามารถมีส่วนร่วมในขณะที่นอนเล่นอยู่ มันจึงเป็นเป็นประโยชน์โดยตรงของลูกค้าเหล่านั้น
แถมธุรกิจลอตเตอรี่ในสหรัฐอเมริกาของฮาร์ดี้นั้นก็มีแค่ของเขาคนเดียว มันเลยเป็นเหตุผลที่ผู้คนจะเข้ามาเล่นกันมากขึ้นในอนาคต พร้อมกับรายได้นับไม่ถ้วนที่จะไหลเข้าไปในคาสิโน
คืนนี้ที่คฤหาสน์เจียนนินีกำลังมีงานเลี้ยงค็อกเทลที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับฮาร์ดี้
และทุกคนที่เข้าร่วมกับสมาคมแคลิฟอร์เนียก็จะได้ต้อนรับในลักษณะนี้ โดยเจ้าของธุรกิจทุกคนจะเข้าร่วมเพื่อพบปะกับสมาชิกใหม่ แล้วก็ติดต่อธุรกิจกันเพื่อสร้างรายได้ร่วมกันในอนาคต
ฮาร์ดี้พาแอนดี้กับจอห์นไปที่ที่แผนกต้อนรับด้วยกัน
แล้วมันก็มีเพียงผู้ชายที่อยู่แถวนี้ เมื่อฮาร์ดี้เดินเข้าไปในห้องโถงมันก็มีคนมากกว่าสี่สิบคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาทุกคนล้วนแต่ใส่สูท เจียนนินีเห็นฮาร์ดี้เดินเข้ามา เขาก็เดินไปหาฮาร์ดี้ก่อนจะชูมือขึ้นสูง และแนะนำตัวเขาอย่างกระตือรือร้น
“ทุกคนนี่คือสมาชิกใหม่ของเราทอมฮาร์ดี้ที่เป็นเจ้าของฮาร์ดี้กรุ๊ป และฉันก็เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยืนชื่อ เอชดีซีเคียวริตี้ หรือสถานีโทรทัศน์เอบีซีกับฮาร์ดี้โฮเทล ทั้งหมดนี้เป็นธุรกิจของฮาร์ดี้”
“และฉันก็เชื่อว่าพวกคุณนั้นก็น่าจะเคยอ่านเพลย์บอยที่เป็นธุรกิจของฮาร์ดี้”
มีรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ชายเหล่านี้ และทุกคนก็รู้จักรอยยิ้มนั้น
“จากวันนี้ทอมฮาร์ดี้จะเป็นหุ้นส่วนของเราและเวลานี้เราก็มีหุ้นส่วนที่ทรงพลังขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว ดังนั้นทุกคนปรบมือเพื่อแสดงความยินดีกับฮาร์ดี้สำหรับการที่เขานั้นได้เข้าร่วมกับเรา!”
แปะแปะๆๆ
โว้ว!
เหล่าผู้ชายเหล่านี้ปรบมือต้อนรับฮาร์ดี้อย่างอบอุ่น
และตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป
ฮาร์ดี้ก็ได้เข้าร่วมกับสมาคมแคลิฟอร์เนียอย่างเป็นทางการ
และก็ได้เป็นสมาชิกของกลุ่มนายทุนด้วย
หลังจากนั้นเจียนนินีก็พาฮาร์ดี้ไปรู้จักกับคนที่ เช่นเจ้าของเซฟตี้เปซิฟิก เจ้าของไคเซอร์กรุ๊ป เจ้าของคอร์กเกอร์ เจ้าของพีอาซี เจ้าของบริษัทประกันภัย
ซึ่งการแนะนำตัวนั้นกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วโมง และทุกคนก็ทักทายฮาร์ดี้จับมือกับเขา สำหรับการยินดีที่เขาเข้าร่วมมา โดยมันก็มีหลายสิบคนที่เขาจำได้ แน่นอนว่าถ้าเขาความจำไม่ดีเขาก็ไม่อาจจำผู้คนจำนวนมากได้ในครั้งเดียว
สุดท้ายฮาร์ดี้ก็แนะนำแอนดี้และจอห์นให้กับทุกคน โดยคนหนึ่งเป็นประธานของฮาร์ดี้กรุ๊ปและอีกคนเป็นประธานของเวลส์ฟาร์โก ทั้งสองจะเป็นมือขวาของฮาร์ดี้ในอนาคต
เวลานี้งานเลี้ยงก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว และโต๊ะอาหารนั้นก็ยาวมาก มันคล้ายกับฉากการรับประทานอาหารในวังยุโรปโบราณ และผู้ที่สามารถร่วมโต๊ะได้ล้วนเรียกว่านายทุนรายใหญ่ และผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยกว่าสิบล้านไม่มีสิทธิ์นั่งที่นี่
ในงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่มีผู้หญิงไม่มีดนตรีไม่มีงานเต้นรำ มีเพียงหัวข้อเดียวที่ทุกคนนั่งคุยกันก็คือเกี่ยวกับธุรกิจและเรื่องการทำเงิน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ มันก็เป็นเวลาแลกเปลี่ยน มีคนหนึ่งเข้ามาทักทายฮาร์ดี้ ซึ่งเขานั้นเป็นเจ้าของเหมยตงเรียลเอสเตท
“สวัสดีครับ คุณฮาร์ดี้”
“สวัสดี คุณสโตน”
วิลเลียมสันพูดด้วยรอยยิ้มอีกครั้งว่า “คุณฮาร์ดี้ผมได้ยินจากท่านประธานเจียนนินีว่าคุณกำลังจะสร้างคาสิโนเพิ่มอีกสองแห่ง แล้วแต่ละแห่งก็ใช้เงินลงทุนหลายร้อยล้านดอลลาร์ด้วยใช่ไหมครับ? ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากจริงๆ และบริษัทเราก็เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างมืออาชีพ ผมเห็นว่าบริษัทคุณกำลังพัฒนาและสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้น ผมก็เลยหวังว่าจะได้ทำความร่วมมือกับคุณ”
เงินลงทุน 200 ล้านดอลลาร์ ถ้าทั้งสองโครงการนี้เขาสามารถคว้ามันได้สักอัน เขาก็สามารถสร้างรายได้จากมันได้มหาศาล
ฮาร์ดี้รู้จักชื่อเหมยตง มันเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนียและยังเป็นบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเวลาเดียวกัน
“ได้สิครับ ผมยินดีที่จะได้ร่วมมือกับเหมยตง แน่นอนว่าผมกำลังมองหาคนเขียนแบบคาสิโนทั้งสองและบริษัทก่อสร้างอื่นๆ อยู่และก็ยินดีต้อนรับเหมยตงเข้าร่วม แล้วถ้าเราทำเงื่อนไขได้ดี เดี๋ยวผมจะให้ความสำคัญกับเหมยตงด้วย” ฮาร์ดี้กล่าว
วิลเลียมสโตนยิ้มทันที “ถ้าอย่างนั้นผมก็อยากจะขอบคุณคุณฮาร์ดี้มาก และหลังจากผมกลับไปผมจะให้คนของผมติดต่อกลับไปทันที”
พูดจบเขาก็ยกแก้วชนกับฮาร์ดี้
ก่อนจะเดินออกไปและชายวัยกลางคนอีกคนก็เดินเข้ามา “สวัสดีครับคุณฮาร์ดี้ ผมวอลเตอร์แมคเป็นประธานของเป๊ปซี่โค และผมก็ได้ยินมาว่าคุณได้ซื้อหุ้นของเป๊ปซี่จากธนาคารแห่งอเมริกาเหรอครับ?”
“ใช่ฉันมองโลกในแง่ดีกับอนาคตของเป๊ปซี่ ดังนั้นฉันก็เลยซื้อหุ้นมาจากเขา” ฮาร์ดี้กล่าว
วอลเตอร์แมครู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ฮาร์ดี้พูดว่ามองโลกในแง่ดีกับเป๊ปซี่? เพราะปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่นั้นมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับโคคาโคล่ามากกว่า จนทำให้เป๊ปซี่ถูกบีบเหลือส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% และยังเป็นตลาดระดับล่างๆ อีกด้วย หลายคนคิดว่าชะตากรรมสุดท้ายของเป๊ปซี่คือการที่ถูกโคคาโคล่าเข้าซื้อหรือโดนโคคาโคล่าฆ่าตาย
แต่ในความเป็นจริงเป๊ปซี่ได้ขอให้โคคาโคล่าซื้อตัวเองไปแล้วสามครั้ง แต่โคคาโคล่ากลับไม่สนใจ เพราะพวกเขารู้สึกว่าเป๊ปซี่นั้นมีรสชาติคล้ายกับของตัวเอง ดังนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องซื้อมาก็ได้ และสุดท้ายเป๊ปซี่ก็จะค่อยๆ ตายลงไป
แน่นอนว่าโคคาโคล่านั้นคาดการผิดไป เพราะเป๊ปซี่นั้นเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหนือกว่าพวกเขาไป
“คือผมขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณถึงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับเป๊ปซี่” วอลเตอร์ถาม
“ฉันมีความคิดบางอย่างที่จะพัฒนาเป๊ปซี่ให้เติบโตได้ ซึ่งมันก็อาจจะใช้เวลาสักระยะสำหรับการแสดงผลออกมา และเดี๋ยวเราจะมีนัดหมายเพื่อพูดคุยรายละเอียดอีกในอนาคต” ฮาร์ดี้กล่าว
“ได้เลยครับ!” วอรเตอร์ตอบอย่างมีความสุข
ซึ่งเขารู้มาว่าคุณฮาร์ดี้ที่อยู่ตรงนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจและพวกมันก็ยังถูกพูดถึงในวงกว้างด้วยเช่น ช้อปปิ้งทีวีที่เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับการช้อปปิ้ง โดยมันได้ดึงดูดเหล่าหญิงสาวนับไม่ถ้วนให้ดูโทรทัศน์ในช่วงบ่าย
และอีกตัวอย่างก็คือลอตเตอรี่กับบริษัทรับเดิมพัน ต้องบอกก่อนว่าเวลานี้การขายลอตเตอรี่นั้นยังผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาอยู่ แต่สิ่งนี้นั้นอยู่ในลาสเวกัสและมันก็เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย ฮาร์ดี้ก็เลยใช้กฎหมายของคาสิโนผนวกเข้ากับการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์และรับเดิมพันผ่านบริษัทรับเดิมพัน มันเลยเป็นการหลีกเลี่ยงข้อกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และด้วยสถานะปัจจุบันของฮาร์ดี้ที่เป็นเจ้าของฮาร์ดี้กรุ๊ปกับเป็นเจ้าของธนาคารเวลส์ฟาร์โกที่มีสินทรัพย์หลายร้อยล้านดอลลาร์ พร้อมกับความสามารถที่สูงกว่าเขา ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะได้พูดคุยกับฮาร์ดี้อย่างละเอียด
ฮาร์ดี้ได้ริเริ่มที่จะเดินไปคุยกับคนอื่นๆ ยังไงเขานั้นก็ไม่กลัวการเข้าสังคมและไม่เคยกลัวที่จะสื่อสารกับผู้คน มันก็เลยทำให้เขานั้นได้รับเพื่อนใหม่ได้ในเวลาอันสั้น
ในฝูงชนเขาเห็นเดวิดเมอร์ซี่ที่เป็นเจ้าของเมอร์ซี่ฟาร์มาซูติคอลยืนคุยอยู่ ซึ่งเขานั้นก็คิดอะไรบางอย่างออกมาได้ โดยวิคเตอร์นั้นไปถึงฮ่องกงเมื่อเดือนที่แล้ว และก็กำลังเริ่มต้นทำงานหลังจากอะไรต่างๆ อยู่ตัว เขาเช่าอาคารอยู่ที่ใจกลางเมืองและสร้างบริษัทประมูล ขึ้นมา
แน่นอนว่าวิคเตอร์นั้นเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าการไปฮ่องกงครั้งนี้นั้นคือโอกาสของเขา เขาเลยทำการสังเกตสถานการณ์ที่นี่ก่อน และก็ได้รู้ว่าสงครามในเมืองจีนเวลานี้กำลังดุเดือดมาก ผู้คนจำนวนมากหนีมาที่ฮ่องกงและฮ่องกงก็ทำเต็มไปด้วยประชากรจำนวนมาก
พร้อมกับที่บอสบอกว่าราคาที่เดินของที่นี่นั้นจะสูงขึ้น ซึ่งเขาก็ได้เห็นแล้ว และก็มีความชื่นชมในตัวของบอสมากขึ้น เพราะบอสนั้นสามารถคาดเดาได้แม้จะอยู่ห่างไปหลายพันไมล์
แน่นอนว่าหลังจากที่วิคเตอร์ได้มาอยู่ที่นี่เขาก็ได้รู้เรื่องราวมากขึ้น เขาจึงส่งโทรเลขกลับไปที่สำนักงานใหญ่ทุกๆ สัปดาห์เพื่อรายงานสิ่งที่เขาพบ และโทรเลขของวิคเตอร์ก็จะถูกส่งไปหาฮาร์ดี้ทุกครั้ง โดยหนึ่งในโทรเลขที่ส่งมานั้นมีรายงานมาว่ายาเพนิซิลลินบนเกาะฮ่องกงเวลานี้ราคากำลังพุ่งสูงมาก ซึ่งบางคนถึงกับยอมจ่ายค่ายาหนึ่งขวดด้วยราคา 30 ดอลลาร์
และต้องบอกว่าเวลานี้เงินดอลลาร์สหรัฐนั้นจะอ้างอิงที่ทองคำโดย 30 ดอลลาร์เวลานี้ก็จะเทียบเท่ากับขนาดทองที่ 24 กรัม ดังนั้นมีจึงการนำทองคำก้อนเล็กๆ มาแลกเปลี่ยนกับยาเพนิซิลลินหนึ่งขวด
แล้วถ้าเขามีเพนิซิลลินเป็นจำนวนมาก เขาก็จะได้รับเงินเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน ส่วนสาเหตุที่ประเทศอื่นๆ นั้นไม่ยอมขายเพนิซิลลินให้ฮ่องกงนั้นก็คือข้อมูลข่าวสารที่ไม่ทั่วถึง
เพราะเวลานี้ข้อมูลบางสถานที่ก็ไม่สามารถแพร่ออกไปด้านนอกได้ หรือมันก็มีบางคนที่ปกปิดข่าวนี้ไว้เพื่อที่ตัวเองจะทำกำไรกับทางนี้ได้
เมอร์ซี่ฟาร์มาซูติคอลเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่รัฐบาลสหรัฐก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตยาปฏิชีวนะสำหรับการส่งให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมันจะทำความร่วมมือกับไฟเซอร์ เมื่อฮาร์ดี้เห็นเจ้าของบริษัทเมอร์ซี่ เขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ว่าเขานั้นอาจขอซื้อยาเพนิซิลลินจากคนคนนี้ได้
เพราะตอนนี้ยังไม่มีการจดสิทธิบัตรสำหรับเพนิซิลลิน แน่นอนว่าเขาสามารถขอทำความร่วมมือสร้างสายการผลิตเพนิซิลลินขึ้นที่ฮ่องกงได้โดยตรง แถมธุรกิจนี้ก็จะยั่งยืนอยู่หลายทศวรรษ และยังช่วยคนจำนวนมากได้ด้วย
“สวัสดีครับคุณเดวิดเมอร์ซี่” ฮาร์ดี้ยกแก้วของเขาขึ้นก่อนจะยิ้มให้
“สวัสดีคุณฮาร์ดี้ ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้เข้าไปทักทายคุณ อ่า น่าเสียดายที่เวลานั้นมีผู้คนรอบตัวคุณมากจริงๆ แล้วคุณว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาเหมาะสมที่เราจะมาพูดคุยเรื่องเอ็มจีเอ็มคาสิโนเหรอ?” เมอร์ซี่ย์ถามเขา
ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนักลงทุนของคาสิโนแห่งใหม่ ดังนั้นการที่เขาจะขอซื้อเพนิซิลลินมันก็จะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน