ตอนที่ 177 ทำไมหัวหน้าไม่มากินฉัน!
ฉากนี้จะเป็นการโชว์ห้องที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่รับสาย และเวลายี่สิบนาทีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“หมดเวลาแล้ว! สายด่วนจะสิ้นสุดตรงนี้ และจะไม่มีการรับสายอีกต่อไป!” พิธีกรประกาศเสียงดัง
“ผลสถิติออกมาเป็นยังไงบ้างคะ?” พิธีกรสาวถาม
ในไม่ช้าพิธีกรหญิงก็ได้รับกระดาษมาแผ่นหนึ่ง และพิธีกรหญิงก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “เรียนท่านผู้ชมทุกท่าน ตอนนี้ฉันจะรายงานผลคำสั่งซื้อล่าสุดให้ฟังนะคะ เราได้รับการโทรเข้าทั้งหมด 516 ครั้ง และในจำนวนนี้ลูกค้าบางคนก็สั่งซื้อครั้งละสองขวดก็มี ดังนั้นจำนวนการสั่งซื้อทั้งหมดคือ 688 ขวดค่า!”
“ดูเหมือนว่าผู้คนจะกระตือรือร้นกันมากเลยนะคะ”
“งั้นเรามาต่อที่สินค้าชิ้นต่อไปกันดีกว่า ชิ้นนี้จะเป็นลิปสติกของเอสเตลอเดอร์หมายเลข 305 แท่งสีทอง เนื้อลิปสีลูกแพร์แดง ซึ่งลิปสติกนี้จะเป็นสีแดงเข้มแบบดิบๆ นิดๆ หลังจากทาแล้วมันจะดึงเสน่ห์ของคุณออกมา!”
…
ผู้บริหารของเอนบีซีและซีบีเอสต่างรู้สึกตกใจกับวิธีการขายแบบนี้
ในตอนเช้าพวกเขาก็ไม่รู้สึกกดดันอะไร
แต่เมื่อเห็นทีวีช้อปปิ้งในช่วงบ่าย มันก็ล้มล้างความคิดเดิมๆ ของพวกเขาไปหมด เพราะพวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าโทรทัศน์จะสามารถทำเช่นนี้ได้
การขายตรงทางโทรทัศน์?
มันเป็นไอเดียที่อัจฉริยะจริงๆ
คิดดูสิครีมบำรุงผิวแต่ละขวดมีราคาที่ 5.8 ดอลลาร์และขายออกไปได้ 688 ขวด งั้นยอดขายทั้งหมดก็จะอยู่ที่ 4,000 ดอลลาร์ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น!
และมันเป็นเพียงสินค้าชิ้นแรกที่ถูกนำมาขายเท่านั้น ซึ่งมันยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่ชั่วโมงสำหรับรายการนี้
ถ้าหากยังเป็นแบบนี้อยู่ ยอดขายช่วงบ่ายอาจจะพุ่งไปถึง 40,000 ดอลลาร์เลยก็ได้
มันช่างน่าตกใจมากจริงๆ
แล้วลองคิดดูสิถ้าหากทีวีช้อปปิ้งขายทุกวันยอดขายก็อาจจะถึง 14 ล้านดอลลาร์ในหนึ่งปี
โอ้มายก๊อดดดด
ยอดขายต่อที่ปี 14 ล้านดอลลาร์นั้นสูงกว่ายอดขายห้างใหญ่ๆ หลายแห่งอีก
แล้วสถานีโทรทัศน์ได้อะไรงั้นเหรอ?
ต้องบอกว่าถึงจะได้กำไรแค่ 20% สถานีโทรทัศน์เอบีซีก็สามารถทำเงินได้มากถึง 3 ล้านดอลลาร์สำหรับรายการเดียว
ซึ่งรายได้ขนาดนี้สูงกว่าอีกสองบริษัทซะอีก และมันไม่ใช่แค่ผู้บริหารเอนบีซีและซีบีเอสที่ตกใจ
คนอื่นๆ ที่รู้จักฮาร์ดี้ก็ตกใจมากเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นเมเยอร์เจ้าของเอ็มจีเอ็ม เจ้าของพาราเมาต์ และวอร์เนอร์บราเธอส์ ต่างก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าในวงการธุรกิจ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นหนทางการทำเงินของทีวีช้อปปิ้งอย่างง่ายดาย
แถมมันไม่จำเป็นต้องมีที่เก็บสินค้า ไม่ต้องใช้คนงาน ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ และใช้เพียงแค่พิธีกรสองคนมานั่งออกโทรทัศน์แค่นี้เงินล้านก็เข้ามาหาแล้ว
ส่วนสินค้ามีเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?
มันมีสินค้ามากมายที่สามารถขายทางโทรทัศน์ของอเมริกาได้
และข้อดีอีกอย่างของทีวีช้อปปิ้งก็คือการโฆษณา เพราะเวลาออกอากาศของรายการนี้ยาวถึง 5 ชั่วโมง
ดังนั้นมันก็เท่ากับโฆษณาให้ฟรีๆ 5 ชั่วโมงนั้นเอง
แน่นอนว่าการโฆษณาแบบนี้จะเทียบเท่ากับโฆษณาของจริงไม่ได้ เพราะนอกเหนือจากการขายสินค้าแล้วสถานีโทรทัศน์ก็ไม่ได้ค่าโฆษณากลับมาเลย
…
เมเยอร์กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่และโทรทัศน์ก็กำลังแนะนำรองพื้นชนิดน้ำให้เขาฟัง
ส่วนราคาของรองพื้นชนิดน้ำตัวนี้อยู่ที่ 12.6 ดอลลาร์
หลังจากที่พิธีกรทั้งสามร่วมร้องเพลงด้วยกันจบแล้วราคาก็ตกไปที่ 7.9 ดอลลาร์
บอกตามตรงนะว่าเมเยอร์ก็ถูกล่อลวงด้วยราคาที่ลดลงขนาดนี้เหมือนกัน
แล้วคิดดูสิว่าเหล่าแม่บ้านจะไม่ถูกล่อลวงได้ยังไง?
จากสถิติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐมีประชากร 150 ล้านคนและ 30 ล้านครัวเรือน โดยชนชั้นกลางจะมีมากถึง 55 % ของครัวเรือน ซึ่งในบรรดาครัวเรือนของชนชั้นกลาง 70% ของผู้หญิงจะเลือกเป็นแม่บ้านเต็มเวลา
ทำให้คนกลุ่มนี้มีถึง 11 ล้านคน
แล้วรายการทีวีช้อปปิ้งของสถานีโทรทัศน์เอบีซีนี้ก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็คือกลุ่มแม่บ้าน 11 ล้านคนนี้
เพราะนอกเหนือจากการดูแลงานบ้านแล้ว คนกลุ่มนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกหรือไม่ต้องออกไปทำงาน พวกเธอเลยมีเวลามากมายในการดูโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาช่วงบ่าย
แล้วถ้าพวกเธอไม่สามารถออกไปช้อปปิ้งได้ การดูทีวีช้อปปิ้งมันก็เป็นทางเลือกอีกแบบเหมือนกัน
แน่นอนถ้าหากคุณสามารถจับกลุ่มคนนี้ได้ แสดงว่าคุณก็จับตลาดขนาดใหญ่ได้แล้วนั้นเอง
ตราบใดที่โฆษณานั้นออกมาดีแม้แต่สินค้าที่ธรรมดาก็สามารถขายดีได้
เมเยอร์จำสิ่งที่ฮาร์ดี้พูดในวันนั้นได้และต้องบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะในวงการธุรกิจจริงๆ เพราะเขามีความคิดที่กว้างไกลและไอเดียต่างๆ ก็ออกมาดีหมด
ซึ่งมันก็ทำให้เมเยอร์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง…
เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับสถานีโทรทัศน์เอบีซีแล้วที่จะแซงหน้าอีกสถานีโทรทัศน์อีก 2 แห่ง และฮาร์ดี้ก็บอกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าสามารถขายหุ้นให้เขาได้ 20% แน่นอนว่าเขาปฏิเสธไป และเขาก็สงสัยว่ามันสายเกินไปหรือเปล่าที่เขาจะกลับไปซื้อมัน
อืม…
แต่ลองดูอีกทีละกัน
ดูว่ารายการตอนเย็นนั้นจะดีมากแค่ไหน
เพราะหากยังเรตติ้งดีแบบนี้อยู่ บริษัทเอบีซีก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนแล้ว
ดังนั้นเขาก็แค่หาซื้อหุ้นของบริษัทเอบีซีสักตัวเพื่อที่จะได้ร่วมขบวนนี้
……
ห้องประชุมของเอนบีซี
ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งกล่าวว่า “ท่านประธาน ผมคิดว่าเราสามารถทำรายการนี้ได้เหมือนกัน เพราะมันไม่มีอะไรไปมากกว่าการมองหาผู้ผลิตและนำสินค้าของพวกเขาออกมาโปรโมต”
“ผมเกรงว่ามันคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น บริษัทเอบีซีเพิ่งเปิดตัวรายการแบบนี้ คุณคิดว่าพวกเขาจะไม่จดทะเบียนลิขสิทธิ์เหรอ?” คนข้างๆ กล่าว
ประธานหรี่ตา “ให้คนไปตรวจสอบเรื่องนี้มาสิ”
หลังจากประธานพูดจบ มันก็มีคนออกไปทันที
ซึ่งผู้บริหารของซีบีเอสก็ยังคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะยังไงธุรกิจดีๆ แบบนี้มันก็ต้องมีคนอิจฉาอยู่แล้ว แต่ถ้าพวกเขาอยากจะทำรายการแบบนี้มันก็ต้องดูเรื่องลิขสิทธิ์ก่อน
การตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากคุณสามารถตรวจสอบได้ด้วยการโทรหาสำนักงานลิขสิทธิ์
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าผิดหวังมากสำหรับผู้บริหารระดับสูงทั้งสองคน
เพราะบริษัทเอบีซีได้จดลิขสิทธิ์ของทีวีช้อปปิ้งไปแล้ว และพวกเขาก็จดลิขสิทธิ์ได้รัดกุมมากจนแทบจะไม่มีช่องโหว่ใดๆ เลย แล้วตราบใดที่คุณต้องการทำรายการช้อปปิ้งทางโทรทัศน์คุณก็ไม่สามารถข้ามลิขสิทธิ์ที่ได้รับการจดทะเบียนของพวกเขาได้
“พวกเขาช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ!” ประธานเอนบีซีตบโต๊ะด้วยความโกรธ
เพราะตอนนี้เขาต้องนั่งมองคนอื่นทำเงินไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองไม่ได้อะไร
…
ทีวีช้อปปิ้งกินเวลาจนถึงหกโมงเย็น
ในเวลานี้เหล่าผู้ชายทั้งหลายได้กลับมาจากที่ทำงานแล้ว และเด็กๆ ก็กลับมาจากโรงเรียนเหมือนกัน
ส่วนแม่บ้านทั้งหลายนั้นก็จะเริ่มทำอาหารในช่วงเวลานี้เช่นกัน
สุดท้ายหลังจากรายการขายช่วงบ่ายจบ ยอดทั้งหมดที่ทำได้ก็คือ 80,000 ดอลลาร์
มันสูงกว่าการคาดการณ์ของทุกๆ คนไปมาก
ซึ่งจริงๆ ถ้าให้คิดหยาบๆ มันก็เป็นเพราะเครื่องสำอางในชุดหลังๆ จะราคาที่สิบดอลลาร์ขึ้นทั้งนั้น แล้วยอดขายก็ไม่ได้ตกลงเลยแต่กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
คิดดูว่าถ้านี้เป็นยอดขายรายวันในหนึ่งปี มันก็จะได้เกือบๆ 30 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ทั้ง 2 แห่งที่ดูอยู่ต่างก็อิจฉาตาร้อนกันมาก
หกโมงเย็น
รายการเด็ก ‘เซซามีสตรีท’ ก็เริ่มฉาย
เด็กๆ ที่กลับมาบ้านเมื่อเห็นการแสดงของตุ๊กตาน่ารักๆ ต่างก็สนใจมัน ถึงช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เอนบีซีและซีบีเอสเริ่มออกอากาศรายการข่าวก็ตาม
ซึ่งเอบีซีนั้นออกรายการสำหรับเด็กและอีกสองสถานีออกรายการข่าว แน่นอนว่าพ่อแม่หลายคนต้องเปิดรายการสำหรับเด็ก ‘เซซามีสตรีท’ ให้ลูกๆ ดูอยู่แล้ว
หนึ่งทุ่ม
เป็นเวลาที่หลายๆ ครอบครัวจะเริ่มทานอาหารกันแล้ว และเวลานี้สถานีโทรทัศน์เอบีซีก็เปิดเพลง ‘Scarborough Fair’ ของเอวา การ์ดเนอร์ด้วย ทำให้หลายครอบครัวเลือกดูโทรทัศน์ขณะรับประทานอาหารเย็นกัน
หนึ่งทุ่มครึ่งก็เป็นรายการการเงินกับแอนดี้
โดยมีพิธีกรหญิงกับแอนดี้นั่งอยู่ข้างกัน และคุยเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
ซึ่งมุมมองของแอนดี้ก็คือตอนนี้ตลาดหุ้นกำลังเติบโต และเขาก็แนะนำคนที่มีเงินสำรองอยู่ในมือว่าควรจะลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่าเพราะผลกำไรมันจะราวๆ 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
มันจะสูงกว่าการที่เอาเงินไปฝากธนาคารมาก
และช่วงเวลา 19.30 ถึง 20.00 เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนเลือกจะดูโทรทัศน์ในเวลาว่าง โดยเฉพาะเหล่าผู้ชายที่เป็นเสาหลักของครอบครัว
ยังไงการใช้จ่ายเงินก็คือความสุขของผู้หญิงและการหาเงินเข้าบ้านก็คือหน้าที่ของผู้ชาย มันจึงทำให้พวกเขาสนใจรายการของแอนดี้มาก
“แล้วคุณแอนดี้มีหุ้นตัวไหนแนะนำไหมคะ?” พิธีกรสาวถาม
“เอ่อ ผมสามารถช่วยวิเคราะห์หุ้นได้อยู่สองสามตัว และผมขอพูดถึงตัวแรกกันก่อนเลย…ผมไม่รู้ว่าคุณเคยอ่านนิตยสาร ‘เพลย์บอย’ หรือเปล่า?” แอนดี้มองไปที่พิธีกรสาว
ร่องรอยเขินอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพิธีกรสาวทันที
“ฉันเคยได้ยินมาบ้างคะ”
“งั้นผมก็จะบอกว่าคุณสามารถหารายงานการเงินประจำไตรมาสของพวกเขามาดูได้เลย โดยยอดขายของนิตยสารเพลย์บอยในไตรมาสที่แล้วจะอยู่ที่ 5.25 ล้านเล่มและกำไรก็สูงถึง 1.8 ล้านเล่ม ถ้าหากพิจารณายอดขายจากกำไรพวกเขาอาจจะมีกำไรถึง 7.2 ล้านดอลลาร์ มันเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากสำหรับพวกเขาที่มีผลกำไรมากขนาดนี้”
“แล้วตอนนี้ราคาหุ้นของเพลย์บอยก็อยู่ที่ 24.6 ดอลลาร์ ผมคิดว่าราคานี้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก เพราะพวกเขายังมีช่องทางให้เติบโตอีกเยอะเลย”
“งั้นคุณแอนดี้คิดว่าราคาหุ้นของบริษัทเพลย์บอยในอนาคตจะสูงถึงแค่ไหนคะ?” พิธีกรสาวถาม
“ผมคิดว่ามันจะทะลุ 50 ดอลลาร์ภายในสองปีนี้อย่างแน่นอน” แอนดี้กล่าวว่าด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นอย่างมาก
หลายคนทราบดีว่าบริษัท ‘เพลย์บอย’ นั้นเป็นบริษัทของฮาร์ดี้ และฮาร์ดี้ก็ยังเป็นเจ้าของบริษัทเอบีซีอีกด้วย
ผู้คนจึงคิดว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้น่าจะปลื้มเจ้าของสถานีโทรทัศน์นี้มากแน่ๆ
อย่างไรก็ตามผู้คนจำนวนมากที่ได้ฟังการแนะนำของแอนดี้ก็รู้สึกเหมือนกันว่า ‘เพลย์บอย’ นั้นมีชื่อเสียงมากขึ้นทุกวัน ดังนั้นพวกเขาก็ต้องมีผลกำไรที่มากขึ้นและราคาหุ้นมันจะไม่เพิ่มได้ยังไงละ?
ถูกไหม?
แถมผู้เชี่ยวชาญคนนี้ยังบอกอีกว่าหุ้นของ ‘เพลย์บอย’ จะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ดอลลาร์ ซึ่งมันมากกว่าราคาปัจจุบันถึงสองเท่าเลยทีเดียว
ถ้าลองคำนวณง่ายๆ ก็คือกำไร 100%
หากคุณลองลงทุนที่ 10,000 ดอลลาร์ ในสองปีมันก็จะกลายเป็น 20,000 ดอลลาร์ทันที
การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดีๆ แบบนี้นั้นหาได้ยากอย่างมาก
หลายคนจึงคิดว่าพวกเขาควรซื้อหุ้นเพลย์บอยบ้าง
ขณะที่ผู้คนกำลังสนใจประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญก็กล่าวอีกว่าหากหุ้นตัวไหนมีคนเข้ามาซื้อจำนวนมาก และปล่อยขายในทันทีทันใดหุ้นตัวนั้นก็จะยังไม่ขยับขึ้นหรอก เพราะมันเหมือนกับว่าพวกเขาแค่เข้ามาเล่นแค่แป๊ปเดียว
ต่อไปแอนดี้ก็แนะนำหุ้นอีกสองตัว
ก็คือหุ้นเกี่ยวกับการก่อสร้างและหุ้นสำหรับของใช้บริโภค
เพราะหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้คนก็กำลังเริ่มฟื้นฟูบ้านของตัวเองและเริ่มหางานทำ ดังนั้นหุ้นของการก่อสร้างกับหุ้นของใช้บริโภคก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่งแอนดี้ได้ลงทุนหลายแสนดอลลาร์ไปแล้วสำหรับหุ้นสองตัวนี้ แต่เขาไม่ได้โลภมากนักเลยทำการลงทุนไปไม่เยอะเท่าไหร่
เขาก็อาจจะได้กลับมาราวๆ 20% ในเวลาสามเดือน
“แล้วคุณแอนดี้คิดว่ามีหุ้นตัวไหนที่ไม่ควรซื้อเหรอคะ?” พิธีกรสาวถาม
“หุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจของทหารครับ ยังไงตอนนี้สงครามก็เพิ่งจะจบลง และทุกคนก็รู้ดีว่าจะไม่มีสงครามใหญ่ๆ เกิดขึ้นในเวลานี้ แถมตอนนี้ทหารของสหรัฐอเมริกาก็โดนปลดออกอย่างรวดเร็วจาก 11 ล้านคนเหลือแค่ 1.5 ล้านคน ผลที่ตามมาก็เสบียงและของใช้ทางทหารนั้นเหลืออยู่ในคลังเก็บของเยอะมาก เลยทำให้ต้องหยุดสั่งของจากโรงงาน แล้วลองคิดดูถ้าไม่มีใครมาสั่งของจากโรงงานแล้ว พวกเขาจะทำเงินต่อไปได้ยังไง? จริงไหม?”
…
เมเยอร์ยังดูทีวีอยู่
เมื่อเขาเห็นแอนดี้ที่กลายมาเป็นพิธีกร เขาก็รู้สึกแปลกใจมากๆ
นี่ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของฮาร์ดี้เหรอ?
ทำไมเขาถึงมาเป็นพิธีกรผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เศรษฐกิจในรายการได้?
ถึงเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ก็เถอะ…
หลังจากดูรายการของแอนดี้ เมเยอร์ก็ตระหนักได้ทันทีว่าฮาร์ดี้นั้นใช้ชายคนนี้ปั่นหุ้นในตลาด!
ด้วยความฉลาดของฮาร์ดี้เขาจะไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร?
ฮาร์ดี้ต้องรู้อยู่แล้วว่าราคาหุ้นที่แอนดี้พูดยกย่องในวันนี้จะพุ่งขึ้นในอีกวัน ส่วนหุ้นที่เขาพูดด้อยค่าราคามันก็จะลดลงอย่างแน่นอน
หลังรายการของแอนดี้จบก็จะต่อด้วย ‘อิริน่าทูไนท์โชว์’
อิริน่าเดินออกมาด้วยชุดเดรสที่สวยงาม พร้อมกับผู้ชมหลายสิบคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามตบมือต้อนรับให้ถืออย่างกระตือรือร้น
“สวัสดีค่ะทุกคน! ฉันชื่ออิริน่าและคืนนี้เป็นรอบเปิดตัวของรายการของฉัน ‘อิริน่าทูไนท์โชว์’ ซึ่งในรายการนี้เราจะเชิญดาราหน้าใสมาเป็นแขกรับเชิญ โดยดิฉันจะถามคำถามบางอย่างที่ผู้ชมสนใจ แล้วเราก็จะเปิดให้ผู้ชมโทรเข้ามาถามด้วย”
“ซึ่งแขกของเราคืนนี้ก็คือแครีแกรนต์ กับเอลิซาเบธเทย์เลอร์นั้นเอง”
///เปลี่ยนจากแกรี่แกรนท์เป็น แครีแกรนต์นะครับ
เมื่อผู้ชมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ยินว่าดาราดังมาในวันนี้พวกเขาก็ปรบมือต้อนรับให้อย่างอบอุ่นทันที
แครี่แกรนท์และเอลิซาเบธเทย์เลอร์เดินเข้ามาในสตูดิโอพร้อมกันและโบกมือทักทายผู้ชมรอบๆ
หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว อิริน่าก็ยิ้มและพูดว่า “ผู้ชมคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงเชิญสองคนนี้มาร่วมรายการสินะคะ? แล้วถ้าฉันบอกว่าทั้งสองคือนักแสดงนำเรื่อง ‘ลีออง เพชฌฆาตมหากาฬ’ ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปและได้รับความนิยมในทันทีละ? ผู้ชมก็น่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหม? เพราะฉันคิดว่าพวกคุณก็คงอยากรู้เรื่องส่วนตัวของทั้งสองอย่างแน่นอน”
แครีแกรนต์ยิ้มและพยักหน้า
“ไม่มีปัญหาครับ”
“ได้เลย!” เทย์เลอร์ก็เห็นด้วย
ตอนนี้กระดาษเริ่มแจกจ่ายให้กับผู้ชมที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพื่อให้พวกเขาเขียนคำถามและนำไปใส่ในกล่องที่วางไว้
“เอาล่ะ ฉันคิดว่าเราน่าจะพร้อมกันแล้ว ตอนนี้ฉันจะเริ่มจับสลากกันแล้วนะคะ!” อิริน่ายิ้ม
เธอเอื้อมมือเข้าไปในกล่องและหยิบกระดาษออกมาหนึ่งชิ้น หลังจากที่เธอเปิดมันอ่านเธอก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ว้าว! ผู้ชมคนนี้ถามคำถามที่น่าสนใจมากเลย หมายเลข 32 นี้เป็นของใครค่า!”
กล้องซูมเข้าไปที่นั่งของผู้ชม
เด็กชายอายุราวๆ สิบเจ็ดหรือสิบแปดปียืนขึ้นยิ้มอย่างเขินอาย
อิริน่าส่งยิ้มออกมา “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอจะถามคำถามดังกล่าว” หลังจากพูดจบเธอก็มองไปที่เทย์เลอร์ด้วยรอยยิ้ม
“เทย์เลอร์จ้ะ เด็กหนุ่มคนนี้ถามคำถามที่น่าสนใจเลยทีเดียว เขา…เขาอยากรู้ว่าหนูมีแฟนหรือยัง?”
ผู้ชมที่อยู่รอบๆ หัวเราะลั่นทันทีและบางคนก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาด้วย
เทย์เลอร์ชะงักไปครู่หนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีแล้วค่ะ”
เธอตอบอย่างตรงไปตรงมา
“วู้วๆๆๆ~~” ผู้ชมตะโกนอย่างเริงร่า
อิริน่ากะพริบตาของเธอและก็คิดได้ว่าเทย์เลอร์นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฮาร์ดี้เจ้านายของเธอ
อย่าบอกนะว่าแฟนของสาวน้อยคนนี้คือเจ้านายฮาร์ดี้?
แต่เทย์เลอร์ดูเหมือนจะอายุแค่ 15 ปีเท่านั้นไม่ใช่หรือ?
งั้นก็แสดงว่าเจ้านายเราเป็นสัตว์ร้ายใช่ไหม?
เขาถึงกลับล่อลวงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งทั้งที่เขาสามารถจะทำอะไรกับฉันก็ได้!
…………………………
////ฮาร์ดี้ “ฉันไม่ได้เป็นคนเริ่ม!”