อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 166 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ตอนที่ 166 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน

วันก่อนที่จะมีการเจรจา

สาวฝรั่งเศสอิริน่ามาที่สำนักงานของฮาร์ดี้

“บอส ฉันได้รวบรวมรายชื่อที่บอสต้องการมาแล้ว”

ฮาร์ดี้รับรายชื่อมาดู และเขาก็เห็นว่ามันมีรายชื่อของคนที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นเกือบทั้งหมด พร้อมกับด้านหลังของรายชื่อของพวกเขาที่ถูกทำเครื่องหมายไว้ว่าเคยทำงานมาแล้ว

ซึ่งหลายคนเคยทำงานในบริษัท NBC และ CBS มาแล้ว และก็มีหลายคนเคยไปทำงานในสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นอื่นๆ อีกด้วย

การที่คนเหล่านี้เคยทำงานกับเทคโนโลยีและมีประสบการณ์การทำงานมาแล้ว 

มันก็ถือว่าพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่บริษัทกระจายเสียงเอบีซีต้องการในอนาคต

และแผนกของสถานีโทรทัศน์ก็ยิบย่อยมาก เช่น แผนกธุรการ แผนกวางแผน สำนักงาน แผนกข่าว แผนกผลิตรายการ แผนกโฆษณา แผนกเทคโนโลยี แผนกซ่อมบำรุง แผนกปฏิบัติการ แผนกตรวจสอบ แผนกโลจิสติกส์และแผนกอื่นๆ…

ซึ่งบริษัท ABC ตอนนี้มันยังว่างเปล่าอยู่ทุกแผนก และมันต้องเริ่มสร้างใหม่ตั้งแต่ต้น 

พร้อมกับต้องการคนที่มีความสามารถเยอะมาก เพราะถ้าเขาหาคนที่มีประสบการณ์และมีทักษะเหล่านี้มาได้ เขาก็จะสามารถสร้างมันขึ้นจากจุดเริ่มต้นมาได้อย่างรวดเร็ว

“บอส ฉันอยากแนะนำคนคนหนึ่งให้บอสรู้จัก และฉันก็คิดว่าคนนี้เหมาะมากที่จะเป็นประธานของบริษัทกระจายเสียง” อิริน่ากล่าว

“โอ้ ใครเหรอ?”

“เขาคืออาจารย์ของฉันเอง เขาชื่อวิลเลี่ยมฟอกซ์ และเขาก็อายุ 50 ปีแล้วในปีนี้ เขานั้นจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียด้วย ซึ่งหลังจากจบการศึกษา เขาก็ได้เข้าร่วมกับสถานีโทรทัศน์นิคโรดินในนิวยอร์ก ได้ทำงานในแผนกข่าว แผนกวางแผน และแผนกบรรณาธิการ พร้อมกับได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการและเปลี่ยนสถานีวิทยุนั้นให้มีกำไรขึ้นมาได้”

“ต่อมาเจ้าของปัจจุบันก็ขายสถานีโทรทัศน์ออกไป ซึ่งฟ็อกซ์กับผู้บริหารคนใหม่ดันมีความเห็นไม่ตรงกัน เขาจึงลาออกจากงานทันที และกลับมาสอบเข้าปริญาโทที่สาขาวิทยุกระจายเสียงของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นใหม่ โดยหลังจากที่เขาสำเร็จการศึกษาเขาก็เข้าสมัครเป็นอาจารย์ ทำให้ตอนนี้เขาเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาลัยมาจนถึงปัจจุบัน”

“อาจารย์ฟ็อกซ์มีประสบการณ์การทำงานที่กว้างขวางและมีความรู้ทางทฤษฎีมากมาย นอกจากนี้เขายังเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ทำให้เขามีเส้นสายทางบริษัทวิทยุอีกด้วย และถ้าบอสเชิญเขามา ฉันเชื่อว่าเขาจะมีประโยชน์ต่อการสร้างสถานีโทรทัศน์ใหม่นี้แน่ๆ”

“อ้อ เรื่องเจ้าของบริษัทลูกกวาดและบริษัทกระจายเสียงเอบีซีก็เป็นศาสตราจารย์ฟ็อกซ์ที่บอกเราในชั้นเรียนนี้แหละ”

หลังจากฟังคำแนะนำตัวของสาวฝรั่งเศส ฮาร์ดี้ก็รู้สึกว่าศาสตราจารย์ฟ็อกซ์นั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมจริงๆ

“เอาล่ะ! เอเลน เธอช่วยติดต่อศจ.ฟอกซ์ให้ฉันด้วย เดี๋ยวฉันจะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวว่าเขาต้องการที่จะเข้าร่วมบริษัทกระจายเสียงเอบีซีของเราไหม” ฮาร์ดี้กล่าว

“บอสมั่นใจมากเลยเหรอว่าจะซื้อบริษัทเอบีซีได้?” สาวฝรั่งเศสถาม

“ฮ่าๆ ยังไงฉันก็หาทางเอามันมาได้อย่างแน่นอน”

อิริน่าเลียริมฝีปากของเธอและพูดว่า “บอสถ้าคุณซื้อบริษัทกระจายเสียงเอบีซีได้จริงๆ ฉันขอทำงานที่นั่นได้หรือไม่?”

ฮาร์ดี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“เธอไม่ได้อยากอยู่ที่บริษัทประมูลเหรอ?”

อิริน่าพูดด้วยความสับสน “จริงๆ แล้วฉันก็มีช่วงเวลาที่ดีในการทำงานที่บริษัทประมูลอยู่ และก็ไม่อยากแยกออกจากฮันเยจินเหมือนกัน แต่สาขาเอกของฉันคือการเป็นพิธีกรออกอากาศ ซึ่งฉันก็อยากยืนอยู่หน้ากล้องถ้ามีโอกาส”

ฮาร์ดี้คิดอยู่พักหนึ่งและพยักหน้า “ในเมื่อเธอชอบงานด้านการกระจายเสียง ถ้าอย่างนั้นเธอก็มาทำงานใหักับบริษัทเอบีซีได้เลย ต่อจากนี้ไปเธอจะเป็นเลขาของประธานและค่อยดูแลผม นอกจากนี้เธอยังสามารถทำหน้าที่เป็นพิธีกรในสถานีโทรทัศน์ได้ด้วย”

อิริน่าแสดงความประหลาดใจออกมาทันที

“อ่า ขอบคุณค่ะบอส! ไม่สิขอบคุณค่ะท่านประธาน!” สาวฝรั่งเศสพูดอย่างร่าเริง

การได้เป็นเลขาของประธานนี้ทำให้เธอตื่นเต้นจริงๆ

“แต่การเป็นเลขาของผมมันก็ไม่ง่ายดายอย่างนั้น เพราะผมมีอะไรต้องทำหลายอย่าง ซึ่งในฐานะตัวแทนหรือเลขา เธอต้องแบกรับความรับผิดชอบเยอะมากๆ” ฮาร์ดี้กล่าว

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อบอส!”

“เอาล่ะ! ตอนนี้งานแรกของเธอคือช่วยผมติดต่อศจ.ฟอกซ์ให้ได้ และเมื่อเธอเป็นผู้ช่วยของประธานบริษัทแล้ว เธอก็จะต้องดูเรื่องโครงสร้างของบริษัทกระจายเสียงและช่วยผมดูทิศทางการพัฒนาธุรกิจต่างๆ ในภายหลัง” ฮาร์ดี้กล่าว

นี่คืองานของเลขาอย่างนั้นเหรอ?

“ฉันชอบทำงานแบบนี้มากเลยค่ะ บอส!” หญิงสาวพูดด้วยความหลงใหล

“ฮ่าๆ ถ้างั้นก็ไปได้แล้ว”

เมื่อสาวฝรั่งเศสออกไป 

ฮาร์ดี้ก็มองออกไปนอกหน้าต่างและคิดในใจว่าตอนนี้เหลือแค่ซื้อบริษัทกระจายเสียงเอบีซีมาให้ได้เท่านั้น 

ซึ่งเขาก็ให้คำสั่งกับแอนดี้และเฮนรี่ไว้ว่ามันต้องประสบความสำเร็จและไม่ล้มเหลว

……

วันก่อนการเจรจา

อัลเดอร์แมนเจ้าของโรงงานผลิตยางเพกาซัสนำทีมที่มีสมาชิก 5 คนเดินทางไปที่สปริงฟิลด์ ซึ่งสมาชิกก็คือผู้ช่วยหนึ่งคน รองประธานสองคน และทนายความด้านเศรษฐกิจ

โรงงานผลิตยางเพกาซัสนั้นตั้งอยู่ในชิคาโก ห่างจากสปริงฟิลด์ประมาณ 200 กิโลเมตร 

พวกเขาทั้งหมดจึงขับรถมาด้วยตัวเองและเข้าพักที่โรงแรมที่จองไว้

รถเข้ามาจอดที่ลาดจอดรถของโรงแรม พร้อมกับหลายคนออกมาจากรถและเดินไปที่โรงแรม 

ทว่ากลับมีการจลาจลเล็กๆ เกิดขึ้นข้างๆ 

ซึ่งพวกเขาเห็นโจรสองคนถืออาวุธและสวมหน้ากากกำลังปล้นคนสองคนที่กำลังเดินสัญจรอยู่

ทั้งสองมีน้ำตานองหน้า และทันใดนั้นโจรคนหนึ่งก็ชักปืนจากเสื้อ 

ยิงออกมาสามนัด 

ทำให้คนที่สัญจรไปมาหวาดกลัวและรีบหนีไป ส่วนคนที่กำลังถูกปล้นนั้นก็หวาดกลัวอย่างมาก และไม่กล้าที่จะต่อต้านอีกต่อไป 

ทั้งสองรีบส่งกระเป๋าให้พวกมันทันทีและพวกมันก็หนีไป 

ทำให้ทั้งสองโล่งใจเป็นอย่างมาก

“ฉ…ฉันดูเหมือนว่าจะถูกยิง…”

ในเวลาเดียวกันอัลเดอร์แมนเจ้าของโรงงานผลิตยางก็พูดออกมาอย่างเจ็บปวด

คนที่มาจากโรงงานผลิตยางหันไปมองและก็เห็นว่าหัวหน้าของตัวเอง อัลเดอร์แมนกำลังจับท้องของเขาไว้ด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเลือดที่หยดลงบนพื้น

“เจ้านาย มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”

“อ้า! เลือด! เจ้านายกำลังบาดเจ็บ!”

คนเหล่านี้ตกใจอย่างมากและรีบพาเจ้านายของตัวเองขึ้นรถไปที่โรงพยาบาลทันที

หลังจากมาถึงโรงพยาบาล

แพทย์ก็พบว่าเขาถูกยิงที่ช่องท้อง และก็โชคดีมากที่ไม่มีอวัยวะสำคัญได้รับบาดเจ็บ 

ทำให้เขาสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ทันที

ซึ่งอัลเดอร์แมนก็ยังอยู่ในอาการโคม่าหลังจากการผ่าตัด

หมอบอกผู้คุ้มกันว่า “กระสุนถูกเอาออกไปแล้ว และอาการโดยรวมก็ยังคงที่ แต่คนไข้จะยังไม่ตื่นจนกว่าจะถึงเที่ยงของวันพรุ่งนี้เพราะตอนนี้เขากำลังโดนยาสลบอยู่”

“และพวกคุณต้องระวังอย่างมาก เพราะมันยังมีอันตรายอยู่ในช่วงเวลานี้ และไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นไหม”

ในเวลาเดียวกันตำรวจก็เข้ามาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งพวกเขาก็บอกไปว่าเกิดการปล้นอยู่ใกล้ๆ และพวกโจรก็หยิบปืนออกมาลั่นไกเพื่อขู่ให้ทุกคนหวาดกลัว 

พวกเขาก็เห็นว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่อัลเดอร์แมนที่อยู่ห่าง 20 หรือ 30 เมตรกลับถูกยิงโดยบังเอิญ

อาจกล่าวได้ว่าเขาโชคร้ายเกินไป

หลังจากที่ตำรวจออกไปแล้วรองประธานทั้งสองก็ได้พูดคุยกัน “แล้วการเจรจาเราจะเอายังไงดี?”

“เจ้านายจะไปเจรจาทั้งแบบนี้ได้ยังไง และในหมู่พวกเราก็ไม่มีใครที่ตัดสินใจในการเจรจาครั้งนี้ได้ ดังนั้นรอให้เจ้านายตื่นก่อนดีกว่า”

“งั้นก็รอจนกว่าเจ้านายจะตื่น”

“แต่การรักษาของสปริงฟิลด์นั้นแย่เกินไป ทำไมเราไม่ย้ายเจ้านายไปโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ให้เร็วที่สุดล่ะ? เพราะถ้ามันเกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไง?”

“ใช่ๆ เรารีบกลับไปที่ชิคาโกกันเถอะ”

ในเวลาเดียวกัน เจ้าของพาราเมาท์นั้นไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ส่งรองประธานมาเป็นตัวแทน 

รองประธานพากลุ่มคนมาทั้งหมด 4 คน และพวกเขาก็เรียกแท็กซี่ที่สนามบินหลังจากลงจากเครื่อง

“ไปโรงแรมเซียงเกอ”

รถแท็กซี่กำลังขับอยู่บนทางด่วนและไม่นานก็ขับออกไปถนนฝั่งตรงข้าม 

ซึ่งคนทั้งสี่ในรถก็ไม่ได้ให้ความสนใจเลย พวกเขายังคงพูดคุยเกี่ยวกับการเจรจาในวันพรุ่งนี้อยู่ 

เมื่อพวกเขารู้ตัวพวกเขาก็เห็นว่ารถจอดอยู่ในที่โล่ง พร้อมกับมีคนยืนอยู่นอกรถโดยที่สวมหน้ากากและถือปืนไว้ในมือ

“เกิดอะไรขึ้น?” รองประธานถามด้วยความประหลาดใจ

“นี่คือการปล้น!”

ชายสวมหน้ากากหลายคนเปิดประตูรถและบังคับให้พวกเขาทั้งหมดออกจากรถ 

รองประธานของพาราเมาท์ตกใจมาก พวกเขาไม่คิดว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ตอนที่มาถึงสปริงฟิลด์

พลันมีคนต่อยประธานของพาราเมาท์เข้าที่ท้อง

ตูม!

รองประธานพาราเมาท์ก้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

“เอาเงินออกมาให้หมด!” โจรพูดอย่างข่มขู่

รองประธานคิดในใจว่า ‘แม่งเอ้ย ถ้าต้องการเงินทำไมไม่พูดออกมาก่อนวะ ฉันก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรสักหน่อย ทำไมพวกแม่งถึงมาทุบตีฉันก่อน?’

หลายคนเอาเงินออกมาอย่างเชื่อฟัง

“ผมให้เงินแล้ว…คุณโจรช่วยปล่อยเราไปได้ไหม?” รองประธานถามอย่างหวาดกลัว

“รีบหนีไปซะ!”

หัวหน้าโจรตะโกนออกมา

เมื่อพวกเขาได้ยินว่าโจรบอกให้ไปได้ ทั้งหมดก็รู้สึกโล่งใจ 

ส่วนเรื่องเงินที่โดนปล้นไปยังไงก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขาอยู่แล้ว 

มีบางคนเดินเข้ามาช่วยพยุงรองประธานพาราเมาท์ออกไป ทว่าโจรที่อยู่ข้างๆ หัวหน้าพลันพูดขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่คนเหล่านี้ให้เงินเราได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ทำไมเราไม่มัดพวกเขาไว้และให้แจ้งกับทางครอบครัวให้เอาเงินมาไถ่ตัวเองไปล่ะ? เราน่าจะได้เยอะกว่าการปล้นแค่ครั้งเดียวอีกนะ”

คนจากพาราเมาท์เริ่มหวาดกลัวอย่างมาก

พวกเขาคิดว่าหัวหน้าโจรคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกมั้ง?

หัวหน้าโจรมองไปยังคนเหล่านี้ที่สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง พร้อมกับเอามือแตะคาง 

การกระทำของเขาทำให้คนจากพาราเมาท์กังวลทันที

“ข้อเสนอของนายดีมากจริงๆ ดังนั้นไปมัดพวกเขาและค้นหาที่ซ่อนสักที่พร้อมกับโทรไปเรียกค่าไถ่ให้หมดทุกคน” หัวหน้าโจรกล่าว

หัวใจของคนของจากพาราเมาท์รู้สึกหนาวเหน็บทันที

‘มันจบแล้ว’

กลุ่มคนทั้งหมดถูกโยนเข้าไปในโรงงานร้าง และก็ถูกมัดมือกับเท้าไว้ 

มีโจรคนหนึ่งเข้ามาถามข้อมูลติดต่อบริษัทหรือที่บ้าน ซึ่งก็มีบางคนไม่ยอมบอกอะไร

ทว่าสุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่ลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับโดนปิดปากไม่อนุญาตให้พูดอีก 

พวกเขาหันไปมองกันและกัน แล้วก็คิดว่ามันช่างรู้สึกขมขื่นจริงๆ ที่มาโดนอย่างนี้

แน่นอนว่าพวกเขาได้หยุดคิดเกี่ยวกับการเจรจาต่อรองกับพวกโจรไปแล้ว 

ตอนนี้พวกเขาคิดว่าจะเอาชีวิตรอดออกไปยังไงดีกว่า 

เพราะมันก็ไม่รู้ว่าพวกโจรจะติดต่อกับบริษัทได้หรือเปล่าและถ้าได้เงินไปแล้วก็ไม่รู้อีกว่าพวกโจรจะรักษาสัญญาไหม

หลายคนนอนอยู่บนพื้นและก็รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานทุกวินาที

วันต่อมา

เอ็ดเวิร์ดโนเบิลนำทนายความทางเศรษฐกิจและผู้ช่วยของเขามาที่ห้องประชุมโรงแรมเซียงเกอ 

เขาหันไปมองเวลาและก็คิดว่าใกล้จะถึงเวลาแล้วแต่ทำไมยังไม่มีใครมา?

มันน่าประหลาดใจมากจริงๆ…

หรือว่าคนเหล่านั้นลืมไปแล้วว่าวันนี้มีการเจรจาซื้อบริษัทเอบีซีของเขา?

ถ้าพวกเขาอยากซื้อกิจการ พวกเขาก็ต้องมาเร็วกว่านี้สิ? และเขาก็จะได้เห็นการโต้เถียงที่ดุเดือดเมื่อเขาเข้ามา 

แน่นอนว่าถ้าบรรยากาศตึงเครียดมากเท่าไหร่ มันก็เป็นโอกาสของเขาสำหรับการขึ้นราคาให้เยอะขึ้นไปอีก

แต่ตอนนี้สิ่งต่างๆ มันกลับไม่เป็นตามที่เขาคิดเลยสักนิด…

เพียงหนึ่งนาทีก่อนถึงเวลานัดหมาย ในที่สุดประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออก และแอนดี้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนของเขา

“สวัสดีครับคุณโนเบิล” แอนดี้ทักทายด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดีแอนดี้”

แอนดี้นั่งลงและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณโนเบิล ตอนนี้เราสองคนก็มาถึงแล้ว เรามาเริ่มเจรจากันเลยดีไหม?”

ใบหน้าโนเบิลรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เขานั้นเชิญคนจากโรงงานผลิตยางและพาราเมาท์ให้มาที่นี่ก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นแอนดี้ที่เข้ามาคุยกับเขา 

มันทำให้เขาประหลาดใจมากจริงๆ 

เพราะตอนแรกนั้นเขาต้องการให้บริษัทเอชดีรู้ว่ามีคนต้องการบริษัทเอบีซีมากแค่ไหน 

ทว่าอีกสองฝ่ายนั้นกลับไม่ปรากฏตัวออกมา… 

เขาจึงไม่รู้จะพูดอะไร…

“มาเริ่มกันเถอะ…” โนเบิลพูดด้วยรอยยิ้มฝืนๆ

ทั้งสองฝ่ายเริ่มเสนอเงื่อนไขของตนเองออกมา

ทางเอชดีได้เสนอราคาเพิ่มเป็น 11 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อบริษัทเอบีซี ในขณะที่โนเบิลยืนยันว่าจะขายที่ 14 ล้านดอลลาร์

ทั้งสองฝ่ายยังเจรจาเรื่องอื่นๆ อีกเช่นการจัดเตรียมบุคลากร วิธีการชำระเงิน ระยะเวลาไถ่ถอนและอื่นๆ

ทั้งสองพูดคุยกันเป็นเวลานาน ในที่สุดแอนดี้ก็เสนอราคาที่ 11.5 ล้านดอลลาร์ และกำชับว่าจะไม่เพิ่มราคาขึ้นอีกแล้ว 

มันทำให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที

“ฉันคิดว่าวันนี้เราน่าจะกลับไปคิดกันก่อนไหม และพรุ่งนี้เราค่อยกลับมาพูดคุยกันอีก” โนเบิลกล่าว

แอนดี้พยักหน้า “ก็ได้ แต่ผมต้องบอกคุณโนเบิลไว้ว่าบอสของเราสนใจบริษัทเอบีซีก็จริง แต่คุณกับผมก็รู้มูลค่าของบริษัทนี้ดี ซึ่งบอสได้บอกกับผมไว้ว่าถ้าราคามันสูงเกินไป ก็สู้ไปสร้างใหม่ดีกว่า ดังนั้นถ้าการเจรจาล้มเหลวในวันพรุ่งนี้ เราอาจจะถอนตัวและไม่ต้องการที่จะเสียเวลากับที่นี่อีกต่อไป”

โนเบิลรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของแอนดี้ แต่มันก็เป็นความเห็นที่เขาต้องรับฟัง และก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี…

Leave a Comment

ไม่ดี!