ตอนที่ 164 การเจรจาครั้งสำคัญ
ฮาร์ดี้ขอให้แอนดี้ช่วยคำนวณทรัพย์สินของเขา
แอนดี้ยิ้มและตอบกลับมาว่า “บอส คุณไม่ต้องคำนวณเลย ผมได้คำนวณรายรับและภาษีที่เราต้องจ่ายเมื่อปีที่ผ่านมานี้จากทรัพย์สินทั้งหมดของเรามาแล้ว”
ฮาร์ดี้หันไปมองที่กองใบเสร็จหนาๆ
เอชดีซีเคียวริตี้มีกำไรอยู่ที่ 1.68 ล้านดอลลาร์ และมีค่าใช้จ่ายอยู่ 3.25 ล้านดอลลาร์ ส่วนภาษีขาดทุนก็คือ 21,000 ดอลลาร์
“เรายังต้องจ่ายภาษีจากการขาดทุนด้วยเหรอ?” ฮาร์ดี้ชี้ไปที่รายชื่อนี้
“ภาษีเงินได้นิติบุคคลของรัฐบาลกลาง ภาษีเงินได้นิติบุคคลของรัฐแคลิฟอร์เนีย ภาษีท้องถิ่น มันมีมากกว่าสิบรายการ ซึ่งผมก็ทำทั้งหมดให้อยู่ในขอบเขตทางกฎหมายและเราก็จ่ายน้อยที่สุดแล้ว” แอนดี้ยื่นมือออกอย่างช่วยไม่ได้
ไม่เป็นไร
ยังไงแอนดี้ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้และฮาร์ดี้ก็ไว้ใจในความสามารถการหลีกเลี่ยงภาษีของเขา
ส่วนบริษัทภาพยนตร์เอชดีนั้นมีรายได้ 3.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ใช้จ่ายไปถึง 5.82 ล้านดอลลาร์
มันก็ถือว่ายังอยู่ในสภาวะขาดทุนอยู่เหมือนกัน
และเอชดีโบรกเกอร์ เอชดีมิวสิค บริษัทการเงินของแอนดี้ เหมืองแร่วอลช์ บริษัทน้ำแร่ร็อกกี้เมาเท่น โรงงานโทรทัศน์ บริษัทประมูล บริษัทเอสเต ลอเดอร์
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นยังต้องเสียเงินอยู่ และก็ยังมีหนี้อีกจำนวนมาก
ถ้าไม่ได้เห็นก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าเขานั้นมีกิจการเยอะมาก แต่ดันมีหนี้เยอะยิ่งกว่า
ซึ่งมันก็มีข่าวดีเหมือนกัน
โรงงานผลิตของเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ทำกำไรได้ดีมาก ตอนนี้มันสามารถทำเงินถึง 100,000 ดอลลาร์ให้ฮาร์ดี้ได้ทุกเดือน
และบริษัทที่ทำกำไรได้มากที่สุดก็คือนิตยสาร ‘เพลย์บอย’ ซึ่งสามารถทำเงินได้ประมาณ 400,000 ดอลลาร์ต่อเดือน
อย่างไรก็ตามกำไรเหล่านี้จะไม่ถูกแบ่งให้เขาและเงินทั้งหมดจะถูกโอนไว้ในบัญชีของบริษัท
เพราะถ้าฮาร์ดี้เอาเงินมา เขาก็ต้องจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดานั้นเขาต้องจ่ายเยอะมาก
ถ้าฮาร์ดี้เอากำไรออกไปเขาก็ต้องก็จ่ายภาษีในส่วนนี้ และอัตราภาษีจะขึ้นสูงมากที่สุดถึง 39.6%
คิดง่ายๆ ถ้าเขาเอาเงินออกมา 4 ล้านดอลลาร์ แสดงว่าเขาจะต้องจ่ายภาษีที่ 1.6 ล้านดอลลาร์
เขาจึงคิดว่าหน่วยงานจัดเก็บภาษีของสหรัฐถือเป็นบริษัทมืดจริงๆ
ฮาร์ดี้ดูรายได้ตามกฎหมายของเขาในปีนี้ก็คือ 12,652.56 ดอลลาร์
ซึ่งมันมากกว่าคนธรรมดาที่เสียภาษีต่ำสุดคือต่อปีที่ 10,000 ดอลลาร์ และเขาก็เกินมาแค่ 2,652 ดอลลาร์
มันเยี่ยมมาก!
นี่สิถึงเรียกว่ามืออาชีพ
“ถ้ารายได้และค่าใช้จ่ายของฉันถูกกฎหมายทั้งหมด หน่วยงานสรรพากรของสหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถสร้างปัญหาให้ฉันได้ใช่ไหม?” ฮาร์ดี้ถาม
เพราะมันมีตัวอย่างมาแล้วเช่น แอลคาโปนที่มีรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์โดยการฆ่าคนหรือขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ท้ายที่สุดเงินทั้งหมดของเขาก็โดนยืดโดยสรรพากรและเขาก็ถูกตัดสินจำคุก 11 ปี เพราะไม่ยื่นภาษีเงินได้ของคาสิโนที่เป็นจำนวนเงินหลายแสนดอลลาร์
ซึ่งในสหรัฐอเมริกานั้น การค้ายาเสพติดถือเป็นอาชญากรรมที่ไม่ใช่ความรุนแรง มันจึงไม่ใช่อาชญากรรมร้ายแรง และการโจรกรรมก็ไม่ต้องไปพูดถึงมันเลย
ส่วนการหลบเลี่ยงภาษีนั้นถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก
มันจึงมีวลีที่ว่า
‘มีเพียงความตายและการจ่ายภาษีเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ในโลกนี้’
และฮาร์ดี้ก็ไม่ต้องการให้คนของกรมสรรพากรมาสร้างความเดือดร้อนให้เขา ดังนั้นภาษีที่ต้องจ่ายเขาก็ต้องจ่ายมัน
อย่างไรก็ตามโลกนี้มีสองด้านเสมอ หากมีสรรพากรมันก็ต้องมีบริษัทการเงิน และนักบัญชีของบริษัทการเงินก็จะมีไว้ต่อกรกับสรรพากรโดยเฉพาะ
แอนดี้ยิ้ม
“บอส ไม่ต้องกังวลเลย ตอนนี้บริษัทการเงินของผมมีบุคลากรมืออาชีพทั้งหมด 15 คน นักบัญชี 16 คน และทนายความอีก 3 คน ซึ่งนักบัญชีสองคนของเราเกษียณจากสรรพากรมา และพวกเขาก็รับประกันฝีมือได้เลยว่าเราจะไม่พลาดไปสักหนึ่งเซ็นต์”
“ไม่เลว” ฮาร์ดี้ยิ้ม
สำหรับแก๊งนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฮาร์ดี้ เพราะตอนนี้มันไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าฮาร์ดี้เกี่ยวข้องกับบริษัทแอลเอ
และตราบใดที่เขาทำธุรกิจถูกกฎหมาย ฮาร์ดี้ก็จะเป็นคนบริสุทธิ์ที่สุดในโลกนี้
แต่จากงบประมาณส่วนตัวของฮาร์ดี้ที่จริงแล้วเขายังเป็นหนี้อีกหลายล้าน
“ฉันต้องการซื้อบริษัทเอบีซี นายช่วยดูให้หน่อยว่าฉันเหลือเงินให้ใช้เท่าไหร่?” ฮาร์ดี้ถามอีกครั้ง
“มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับบอสเลย ในการรวบรวมเงิน เพราะแค่มูลค่าปัจจุบันของบริษัทนิตยสารเพลย์บอยก็มากกว่า 50 ล้านดอลลาร์แล้ว และหากบริษัทนิตยสารเพลย์บอยถูกใช้เป็นหลักประกันกับธนาคาร พวกเขาก็ยินดีที่จะให้บอสยืมเงินมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์อย่างแน่นอน” แอนดี้กล่าว
“แต่ถ้าบอสนับทรัพย์สินทั้งหมด บอสก็จะได้รับเงินกู้ราวๆ 40 ล้านดอลลาร์ และเราก็ยังมีความสัมพันธ์กับธนาคารเวลส์ฟาร์โกอีก มันสะดวกมากที่จะไปหาเขาในการกู้เงิน”
หลังจากได้ยินสิ่งที่แอนดี้บอกกับเขาว่ายังมีเงินให้ใช้จ่าย แสดงว่าเขาก็แค่รอการสืบสวนจากเฮนรี่เท่านั้น
…
เฮนรี่กลับมาในสองวันต่อมา
ฮาร์ดี้เรียกให้แอนดี้เข้ามาฟังด้วยกัน เพราะยังไงการเข้าซื้อบริษัทนี้ก็ต้องเป็นงานของแอนดี้
เฮนรี่ส่งกองเอกสารให้กับฮาร์ดี้
“เอ็ดเวิร์ด โนเบิลคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทขนมหวาน เขาอายุ 50 ปีในปีนี้ และบริษัทขนมหวานก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์ ซึ่งโนเบิลดำเนินกิจการบริษัทผลิตขนมมานานถึง 20 ปี ส่วนใหญ่จะผลิตลูกอมผลไม้ น้ำตาล และลูกอมรสกาแฟ แน่นอนว่าแค่มูลค่าของน้ำตาลก็สูงถึง 2 หรือ 3 ล้านดอลลาร์แล้ว และโนเบิลก็ยังโชคดีอีก จากการเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง”
“โดยหลังจากเกิดสงคราม กองทัพก็จัดหาซัพพลายเออร์อย่างเร่งด่วนสำหรับสั่งของเข้ากองทัพ และโนเบิลก็ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์สำหรับน้ำตาล จากนั้นเป็นต้นมายอดขายของเขาก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและพุ่งขึ้นสูงถึง 6 ล้านดอลลาร์ในปีนั้น”
“เมื่อโนเบิลได้เป็นซัพพลายเออร์ เขาก็ทำเงินได้มากและมีเงินอยู่ในมือ แต่เขาไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรต่อ และเมื่อเขาได้ยินข่าวว่าเครือข่ายสีน้ำเงินกำลังจะประกาศขาย เขาก็คิดว่านี้คือโอกาสดีที่จะเอามันมา เขาจึงใช้เงินทั้งหมดของตัวเอง และออกไปกู้เงินเพิ่มมาอีก ทำให้ในที่สุดเขาก็ได้มันมาครองในราคา 8 ล้านดอลลาร์ ในเวลานั้นหลายคนต่างก็ยกย่องความกล้าหาญของเขา”
“อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาซื้อเครือข่ายสีน้ำเงิน เขาก็พบว่าเขาถูกโกงโดยบริษัทกระจายเสียง NBC (Nation Broadcasting Corporation) ซึ่งอีกฝ่ายนั้นเอาพนักงานออกไปหมด และเหลือไว้แค่อุปกรณ์กับข้อตกลงเครือข่ายเท่านั้น”
“แน่นอนว่าเขาไม่เคยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าว เขาไม่รู้วิธีบริหารสถานีโทรทัศน์ เขาก็เลยจ้างคนมาดูแลแทน และผู้จัดการคนปัจจุบันคือไลมอน ซึ่งเขาเคยเป็นผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นมาก่อน”
“ไลมอนให้คำแนะนำมากมายกับเอ็ดเวิร์ด โนเบิล โดยให้ทำตารางผลิตรายการใหม่ในแต่ละช่วงเวลา แต่บอสก็รู้ว่าการผลิตรายการใหม่นั้นจะต้องใช้คนมากแค่ไหน และมันมีเพียงแค่สองบริษัทเท่านั้นก็คือ CBS และ NBC ที่มีคนอยู่หลายร้อยคน”
“ยิ่งไปกว่านั้นการสร้างรายการสักอันหนึ่งก็ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก มันต้องมีสตูดิโอถ่ายทำ รายการทีวี ห้องอัด และการซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัทอื่น จากคำแนะนำของไลมอน เอ็ดเวิร์ดอาจจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 5 ล้านดอลลาร์”
“เหนือสิ่งอื่นใด คือเขาไม่มีพื้นฐานและจำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์”
“รายได้ของสถานีโทรทัศน์ส่วนใหญ่ก็มาจากการโฆษณา เมื่อไม่มีรายการที่ดีผู้ชมก็จะไม่มีความสนใจที่จะดู แล้วมันจะมีใครที่จะยินดีจ่ายเงินลงโฆษณาให้กับสถานีโทรทัศน์กันล่ะ? และถ้าหากพวกเขาต้องการเอาชนะสถานีโทรทัศน์อื่นๆ อีกหลายแห่งหรือต้องการได้รับส่วนแบ่งจากตลาด ยังไงมันก็ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว”
“เอ็ดเวิร์ด โนเบิลรู้สึกตัวได้ทันทีว่าสถานีโทรทัศน์เป็นเหมือนหลุมดำ ซึ่งเขาคิดว่าถ้าทำตามที่ไลมอนบอก บริษัทลูกกวาดของเขาก็คงอยู่ไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะยอมแพ้ทันทีและให้ไลมอนจ้างคนมากกว่า 20 คน เพื่อที่จะให้สถานีโทรทัศน์มีคนอยู่ก็พอ ส่วนรายการอื่นๆ ก็มีแค่การมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์หน้ากล้อง เปิดเพลงที่สถานีวิทยุ หรือจับคนสองคนมานั่งคุยกันเรื่องปัจจุบัน คอมเมนต์ดารา และอื่นๆ ที่มันจะสามารถประหยัดเงินได้”
“ด้วยวิธีนี้มันจึงไม่มีการจัดอันดับและไม่มีโฆษณาเข้ามา พร้อมกับที่พวกเขาไม่มีรายรับอะไรเลย ซึ่งเอ็ดเวิร์ดโนเบิลก็ใช้เงินจำนวนมากสำหรับจ้างพนักงานและบำรุงรักษาอุปกรณ์อยู่ทุกปี”
“แล้วมันไม่มีใครอยากซื้อเอบีซีเหรอ?” ฮาร์ดี้ถาม
“แน่นอนว่ามีบางคนต้องการจะซื้อ จากการที่ผมไปสอบถามคนอื่นๆ มันมีหลายบริษัทที่ต้องการซื้อเอบีซี แต่ข้อเสนอของเอ็ดเวิร์ด โนเบิลนั้นแพงเกินไป บางคนยอมแพ้ บางคนก็กำลังเจรจาต่อรองกับเอ็ดเวิร์ด โนเบิล”
“และมีอยู่สองบริษัทที่ยังไม่ยอมแพ้ หนึ่งชื่อบริษัทเพกาซัสรัมเบอร์ไทย์ บริษัทนี้เป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ผลิตยางให้กับทหารในช่วงสงครามและสถานะการเงินก็ดีมาก อีกที่คือบริษัทฮอลลีวูดพาราเมาท์พิคเจอร์ที่มีชื่อเสียง “
ฮาร์ดี้นึกไม่ถึงว่าพาราเมาท์จะเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเขาช่างมีไหวพริบดีจริงๆ
“ปีที่แล้วบริษัทยางเพกาซัสเสนอเข้าซื้อบริษัทเอบีซี แต่เอ็ดเวิร์ด โนเบิลเสนอราคาที่ 20 ล้านดอลลอาร์ ทำให้บริษัทเพกาซัสไม่ยอมและถอนตัวออกไป จากนั้นเขาก็ไปเสนอราคาให้กับพาราเมาท์พิกเจอส์ที่ 18 ล้านดอลลาร์ แต่พาราเมาท์ก็ไม่เอาเหมือนกัน”
20 ล้านดอลลาร์ 18 ล้านดอลลาร์ ?
มันช่างโหดเหี้ยมจริงๆ
ฮาร์ดี้ก็เดาไว้แล้วว่าเจ้าของบริษัทลูกกวาดจะขึ้นราคา แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเพิ่มมากขนาดนี้
“ต่อมาทั้งสองบริษัทได้คุยกับเอ็ดเวิร์ด โนเบิลอีกครั้งและตอนนี้ราคาที่เอ็ดเวิร์ด โนเบิลขอก็คือ 15 ล้านดอลลาร์”
“อ้าว ทำไมราคาลดลงล่ะ?” ฮาร์ดี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง กองทัพก็ปลดทหารออกเป็นจำนวนมาก และโดยธรรมชาติแล้วซัพพลายเออร์เหล่านี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป ซึ่งเมื่อมีลูกค้าเป็นกองทัพ มันก็ทำให้บริษัทลูกกวาดสามารถสร้างรายได้หลายล้านต่อปี แต่ในตอนนี้ไม่มีกองทัพ รายได้ก็เลยลดลงทันทีและเหลือผลกำไรเพียงไม่กี่แสนต่อปี “
“แน่นอนว่าบริษัทลูกกวาดของเอ็ดเวิร์ด โนเบิลเริ่มเลิกจ้างพนักงานแล้ว เพราะสินค้าของพวกเขาขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเขาไม่กล้าผลิตมากนักและทำได้เพียงลดการผลิตลงเท่านั้น”
“และการที่รายได้ของเขาลดลงถึง 10 เท่าทำให้บริษัท เอบีซี กลายเป็นภาระใหญ่สำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงกระตือรือร้นที่จะกำจัดภาระนี้ลงให้ไวที่สุด”
ตอนนี้ฮาร์ดี้เข้าใจแล้ว
15 ล้านดอลลาร์ มันก็เป็นราคาที่ไม่ได้ต่ำเท่าไหร่ แต่มันเป็นราคาที่เขาต้องการจริงๆ เหรอ?
ฮาร์ดี้อ่านข้อมูลในมืออีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นมันให้แอนดี้ “แอนดี้ ในการเข้าซื้อบริษัทนี้ ฉันจะให้นายเป็นคนดำเนินการ”
“บอส คุณแน่ใจหรือว่าต้องการซื้อมัน? มันไม่ง่ายเลยนะที่จะบริหารบริษัทกระจายเสียงในตอนนี้” แอนดี้โน้มน้าว
บริษัทออกอากาศนั้นต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องแต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นช้ามากจริงๆ
ซึ่งแตกต่างจากภาพยนตร์
เพราะเขาสามารถเรียกเก็บค่าตั๋วได้หรือจะออกอากาศรายการฟรีและก็หารายได้จากการโฆษณา
ส่วนบริษัทออกอากาศนั้น คุณต้องมีเรตติ้งที่สูง และการที่จะมีเรตติ้งสูงได้นั้นก็ต้องลงทุนกับรายการจำนวนมาก
ซึ่งการลงทุนจำนวนมากมันก็ต้องใช้เงินจำนวนมากเช่นกัน
และถ้าหากยังไม่มีโฆษณาเข้ามา คุณก็ต้องดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งมันก็คงจะไม่มีใครอยากลงทุนกับช่องที่ไม่มีคนดูหรอกจริงไหม?
ฮาร์ดี้เข้าใจความจริงเป็นอย่างดี
แต่สิ่งที่เขาต้องการสำหรับบริษัทเอบีซี นั้นไม่ใช่เรื่องรายได้
ยังไงเขาก็สามารถทำเงินด้วยวิธีอื่นๆ และเขาเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำเงินด้วยความรู้จากอนาคตของเขา
ลองคิดดูถ้าคุณเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ที่ครอบคลุมทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา คุณก็จะมีสิทธิที่จะควบคุมความคิดเห็นของสาธารณชนจากนั้นสถานะในโลกนี้ของคุณก็จะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
อย่าลืมว่าสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของสาธารณชนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เช่น เมื่อเห็นว่าบริษัทใดบริษัทหนึ่งกำลังสร้างปัญหาให้กับเขา เขาก็แค่ส่งคนไปตรวจสอบ ค้นหาสิ่งเลวร้ายของบริษัทนั้น และก็นำมันมาเปิดโปงแค่นั้นเอง เพราะบางทีการเปิดเผยเรื่องร้ายๆ เพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้บริษัทจมได้
และถ้ามันไม่พอ เขาก็แค่ส่งคนไปเฝ้าดูสมาชิกสภาบางคนและตรวจสอบพวกเขาว่ามีการทุจริตไหมรับสินบนหรือเปล่า และมีความสัมพันธ์ชู้สาวกับใคร
ซึ่งเขาก็แค่นำข้อมูลเหล่านี้ออกมาเปิดโปง และพวกเขาก็จะโดนสังคมรังเกียจในทันทีหรืออาจจะต้องรับผิดชอบด้วยการขอโทษและลาออกไป
แล้วถ้าหากคุณมองไปที่ประธานาธิบดีแล้วรู้สึกไม่ชอบใจ คุณก็แค่ด่าเขาออกกล้องทุกวันๆ
เพราะยังไงอเมริกาก็มีสิทธิเสรีภาพในการพูดไม่ใช่เหรอ?
ตราบใดที่เราไม่ทำผิดกฎหมายเราก็สามารถพูดได้ทุกวัน และมันก็จะสร้างความปวดหัวให้กับประธานาธิบดีอย่างแน่นอน
“แอนดี้ นายไปคุยกับเจ้าของบริษัทลูกกวาดและพยายามลดราคาลง ฉันตัดสินใจแล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องซื้อมันให้ได้!”
ฮาร์ดี้กล่าวอย่างหนักแน่น