อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 130 เครื่องประดับ

ตอนที่ 130 เครื่องประดับ

เมื่อฮาร์ดี้มาที่บริษัทรักษาความปลอดภัย เฮนรี่ก็เล่าเรื่องให้ฮาร์ดี้ฟังอย่างตื่นเต้นว่าเกิดอะไรขึ้น

เกรย์พาวิคเตอร์ไปที่ฌีรงด์ที่ประเทศฝรั่งเศส เพราะแต่เดิมดีแบรน ฮิลล์เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เซนต์ พอล

ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ในฌีรงด์ และครอบครัวของเขาก็ยังอยู่ที่เซนต์ พอลเช่นกัน 

ดังนั้นพวกเขากลุ่มหนึ่งจึงมาที่นี่

และแน่นอนว่าการเข้าไปตรงๆ อาจจะทำให้ถูกสงสัยอย่างแน่นอน พวกเขาจึงปลอมแปลงเอกสารหลายฉบับเพื่อให้แสดงว่าพวกเขาเป็นคนของเจ้าหน้าที่สืบสวน และบอกให้ใครบางคนเข้าใจในสถานการณ์เพื่อไปบอกพวกเขาว่าคนที่พวกเขากำลังมองหาจะต้องถูกเก็บไว้เป็นความลับและพวกเขาจะต้องไม่บอกกับคนภายนอก

มันก็แค่นั้นแหละ

ซึ่งพวกเขาก็เก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมากได้ในสองวัน

ดิแบรนฮิลล์มีชื่อเสียงมากในท้องถิ่นแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยชาวเยอรมันในการสะสมงานศิลปะ 

มันเลยทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของทุกคน เมื่อวิคเตอร์ทราบสถานการณ์หลายคนก็กัดฟันและสาปแช่งฮิลล์

“เขาพาเยอรมันไปค้นบ้านต่อบ้านทำตัวเหมือนกับสุนัขบ้าที่เลี้ยงโดยเยอรมัน แถมยังไม่เพียงแต่ในเมืองใกล้เคียง แต่ยังไปถึงบอร์โด มันจึงทำให้โรงบ่มไวน์หลายแห่งได้ถูกทำลายด้วยเงื้อมมือของเขา และงานศิลปะทั้งหมดของครอบครัวก็ถูกค้นโดยเขา”

“คุณต้องจับเขาแขวนคอหรือไม่ก็เอาปืนไปยิงเขาทิ้งให้ได้!” ชายชาวฝรั่งเศสที่ถูกปล้นทรัพย์สินพูดพลางกัดฟัน

หลังจากการฟื้นฟูฝรั่งเศส ฝรั่งเศสก็เริ่มค้นหาและประหารชีวิตอาชญากรที่เคยช่วยเหลือเยอรมัน 

ทำให้หลายคนถูกยิงตาย 

แต่ตอนนี้มันพึ่งปี 1947 ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนี้ก็เพิ่งจะเริ่มเท่านั้น…

“มีใครที่อยู่ในตระกูลฮิลล์อีกไหม?” วิคเตอร์ถาม

“ฮิลล์ไม่มีลูกแต่เขาก็เป็นคนเจ้าชู้อยู่เหมือนกัน เขาคบกับผู้หญิงนับไม่ถ้วนแต่ไม่เคยแต่งงาน ซึ่งเขามีหลานชายอยู่คนหนึ่ง เนื่องจากกิจการของลุงของเขาถูกปฏิเสธโดยคนท้องถิ่น เขาจึงออกจากเซนต์ปอลไปที่บอร์โด ฉันได้ยินมาว่าเขาทำงานในโรงกลั่นเหล้าองุ่นที่นั่น”

เกรย์และวิคเตอร์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและรู้สึกว่าหลานชายของฮิลล์ควรถูกสอบสวนด้วย เพราะในกรณีนี้พวกเขามีความสัมพันธ์กัน

พวกเขามาที่บอร์โดเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของหลานชายของฮิลล์ ชื่อของเขาคือลูเอ็ตและเป็นผู้ผลิตไวน์ในโรงกลั่นไวน์ 

ซึ่งพวกเขาก็พบว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาลูเอ็ตไม่ได้มีการติดต่อสื่อสารโทรเลขหรือการแลกเปลี่ยนทางสังคมกับโลกภายนอกเลย

โรงกลั่นเหล้าองุ่นที่ลูเอ็ตทำงานอยู่ก็คือฮองเย่แม้ว่าจะตั้งอยู่ในบอร์โดแต่ก็มีชื่อเสียงน้อยกว่าโรงกลั่นเหล้าองุ่นขนาดใหญ่อื่นๆ 

ซึ่งโรงกลั่นเหล้าองุ่นแห่งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นโรงกลั่นเหล้าองุ่นชั้นสามเท่านั้น… 

มันไม่ได้โดดเด่นมากนักแต่ก็สามารถผลิตไวน์แดงและแชมเปญได้หลายหมื่นขวดในแต่ละปี

แน่นอนว่าพวกเขาไม่พบอะไรในตัวหลานชายของฮิลล์ และวิคเตอร์ก็คิดว่าการมาหาเบาะแสครั้งนี้พวกเขาไม่ได้อะไรเพิ่มเลย 

แต่เกรย์กลับค้นพบสิ่งหนึ่งในโรงบ่มไวน์แดง ทำไมทุกคนที่นี่ถึงมีแต่ชาวอเมริกัน?

ทั้งสองจึงหาเบาะแสต่อไปและก็พบว่า…

ในช่วงสงคราม

โรงบ่มไวน์เหล่านี้ในพื้นที่บอร์โดทั้งหมดถูกยึดครองโดยเยอรมัน ทำให้ไวน์แดงถูกส่งไปยังแนวหน้าเพื่อตอบสนองความต้องการของเจ้าหน้าที่และทหาร 

ซึ่งสถานการณ์ที่โรงบ่มไวน์ฮองเย่ก็คล้ายกัน เจ้าของเดิมที่นี่เป็นชาวยิวและครอบครัวทั้งหมดก็ถูกฆ่า

ในตอนท้ายของสงครามโรงบ่มไวน์หลายแห่งได้ถูกทิ้งร้างที่เติบโตไปด้วยวัชพืชและห้องใต้ดินที่ว่างเปล่า

หลังสงครามรัฐบาลฝรั่งเศสตรวจสอบโรงบ่มไวน์เหล่านี้และก็ได้ทำเรื่องคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งอันไหนที่ไม่มีเจ้าของมันก็จะถูกนำไปประมูล และนำรายได้มาสร้างประเทศใหม่พร้อมกลับมาผลิตไวน์อีกครั้ง

ซึ่งหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรต่างก็เหนื่อยล้า และพวกเขาก็ทำการประมูลเพื่อหาเงินได้สักนิดก็ยังดี

ในการประมูลชาวอเมริกันที่เป็นทนายที่อยู่ห่างไกลก็ได้ยกป้ายประกาศเพื่อซื้อโรงกลั่นเหล้าองุ่นฮองเย่ ถึงแม้ในเวลานั้นจะมีบางคนแข่งขันกับเขาแต่ทนายคนนี้ก็เข้มแข็งมาก และในที่สุดก็ปราบปรามคู่แข่งรายอื่นทั้งหมดให้ถอนตัวและในที่สุดก็ได้โรงกลั่นเหล้าองุ่นมาครอง

ในช่วงเวลาของการจดทะเบียน ทนายความชาวอเมริกันก็กล่าวว่าเขาได้รับมอบหมายจากบริษัทหนึ่งให้ซื้อโรงกลั่นเหล้าองุ่นในนาปา วัลเลย์ที่แคลิฟอร์เนีย 

ดังนั้นโรงกลั่นเหล้าองุ่นฮองเย่จึงได้รับการจดทะเบียนภายใต้ชื่อดังกล่าว

จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ

อย่างไรก็ตามเมื่อสรรหาผู้จัดการและคนงานสำหรับโรงกลั่นเหล้าองุ่นฮองเย่ นอกเหนือจากการจ้างงานในหนังสือพิมพ์ ทนายความก็ได้ติดต่อลูเอ็ตหลานชายของฮิลล์โดยตรง และถามเขาว่าจะมาทำงานที่โรงกลั่นเหล้าองุ่นในฐานะผู้ผลิตไวน์หรือไม่? และเขาก็ยินดีที่จะจ่ายในราคาสูงสำหรับเขา

ลูเอ็ตเป็นผู้ผลิตไวน์อย่างแท้จริงด้วยความสามารถของเขา แต่เขาก็ยังห่างไกลจากการถูกบอกว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์…

ซึ่งสิ่งนี้มันก็ดูแปลกเหมือนกัน

แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ปกติ เพราะเขาไม่ได้ติดต่อกับใครเลยในสหรัฐอเมริกา 

ซึ่งมันก็ดูเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งนี้ก็ยังคงดึงดูดความสนใจของเกรย์และวิคเตอร์

แล้วใครกันล่ะที่บอกว่าเขาเป็นหลานชายของฮิลล์?

เกรย์บอกเฮนรี่เกี่ยวกับข่าว และเฮนรี่ก็ส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ของโรงกลั่นเหล้าองุ่นในนาปา วัลเลย์ทันที

เจ้าของโรงกลั่นเหล้าองุ่นที่นั้นชื่อแจ็ค กู้ดวิน

และโรงกลั่นเหล้าองุ่นนี้เรียกก็ว่า ‘A of Spades Winery’ ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตแชมเปญซะมากกว่า

บังเอิญแจ็คกู๊ดวินคนนี้มาถึงสหรัฐอเมริกาในปี 1944 เขาอ้างว่าเป็นผู้ลี้ภัยชาวฝรั่งเศสและได้รับสัญชาติอเมริกัน และภายในไม่กี่เดือน เขาก็ซื้อโรงกลั่นเหล้าองุ่นในนาปา วัลเลย์และเปลี่ยนชื่อเป็น ‘A of Spades Winery’

อีกหนึ่งปีต่อมาเมื่อมีการประมูลทรัพย์สินโรงกลั่นเหล้าองุ่นของฝรั่งเศส คนคนนี้ก็ส่งทนายความไปซื้อได้ทันเวลา และเป้าหมายก็ชัดเจนว่าเขาต้องการโรงกลั่นไวน์ที่นาปาวัลเลย์

ในเวลานั้นโรงบ่มไวน์ฮองเย่คล้ายกับคฤหาสน์ร้าง เพราะมันถูกทิ้งไว้ถึง 2 ปีและไม่มีไวน์อยู่ในห้องใต้ดินเลยสักขวด 

แต่เขาก็ยังซื้อมัน

เฮนรี่รู้สึกสงสัยมากเพราะมันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้นแน่ๆ

เขาจึงพาคนของเขาไปที่ นาปาวัลเลย์จากซานฟรานซิสโกในชั่วข้ามคืน และปลอมตัวเป็นพ่อค้าไวน์เพื่อที่จะได้เข้าโรงกลั่นนี้ ซึ่งเขาก็แกล้งทำเป็นว่าต้องการไวน์เป็นจำนวนมากจึงอยากคุยกับเจ้าของที่นี่ และแจ็คกู้ดวินก็ออกมาตอนรับพวกเขา

เฮนรี่ที่เห็นแจ็คกู้ดวินในแวบแรกก็ยืนยันตัวตนของเขาได้ทันที ซึ่งวิคเตอร์มีรูปของฮิลล์ถึงแม้มันจะผ่านไปเจ็ดหรือแปดปี แต่เขาก็บอกได้เลยว่าแจ็คคนนี้จะต้องเป็นดีแบร์นฮีลล์อย่างแน่นอน

“แล้วฮิลล์อยู่ที่ไหน?” ฮาร์ดี้ถาม

“ยังคงอยู่ในโรงกลั่นเหล้าองุ่นของเขา ซึ่งเราไม่ได้ทำอะไรเพียงแค่ส่งคนไปเฝ้าดูเท่านั้น และกลับมาถามบอสว่าจะเอายังไงต่อไป?” เฮนรี่กล่าว

ฮาร์ดี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบสองสามคำกับเฮนรี่ และเฮนรี่ก็พยักหน้ารับ

ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น

แจ็คกู้ดวินติดต่อกับเพื่อนๆ ของเขาเพื่อมาเล่นไพ่ด้วยกัน 

ซึ่งเขาก็ขับรถออกจากโรงกลั่นเหล้าองุ่นไป ทว่าระหว่างทางรถของเขากลับถูกดักปล้นและก็มีคนกลุ่มหนึ่งลักพาตัวเขาไป 

แจ็คตอนนี้อยู่ในวัยหกสิบปีแล้ว เขานั้นไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เขาถูกคนอื่นคลุมหัวอย่างรวดเร็วและก็โดนยัดเข้าไปที่เก็บของหลังรถ 

แถมเมื่อเปิดฝากระโปรงออก เขาก็เข้ามาอยู่ในห้องมืดเสียแล้ว

คลิก!

ไฟส่องสว่างบนใบหน้าของแจ็ค และเขาก็ต้องหลบมันอย่างช่วยไม่ได้เพราะมันสว่างเกินไป

“นายชื่ออะไร?” มีชายสวมหน้ากากคนหนึ่งถามเขา

“ผ…ผมชื่อแจ็คกู้ดวิน” ชายชรากล่าวอย่างสั่นสะท้าน

“ฮ่าๆ ฉันคิดว่านี่คงจะไม่ชื่อจริงของนายใช่ไหม? ไม่ใช่ว่านายคือแบรนฮิลล์หรอกหรือ?” ชายสวมหน้ากากพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย

ฮิลล์สั่นสะท้านและสายตาแห่งความกลัวก็ฉายในดวงตาของเขา

“ไม่…ไม่ ชื่อของผมไม่ใช่ฮิลล์ ชื่อของผมคือกู้ดวิน แจ็คกู้ดวิน!” ฮิลล์พูดเสียงดัง

ชายสวมหน้ากากหยิบรูปถ่ายออกมาและถือไว้ที่หน้าของฮิลล์ 

ซึ่งรูปถ่ายนี้ก็เป็นเพียงภาพขาวดำสี่นิ้วธรรมดาๆ แต่มันทำให้ฮิลล์ตกใจอย่างมาก 

เพราะเขาจำมันได้อย่างรวดเร็วมันเป็นรูปถ่ายของตัวเขาเอง ตอนที่เขายังเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อยู่

“นายคุ้นเคยกับภาพนี้หรือไม่?” ชายสวมหน้ากากถาม

ฮิลล์เหงื่อออกและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ผม…ไม่ ไม่รู้จักคนคนนี้” ฮิลล์ปฏิเสธ

“ฮ่าๆ นายยังไม่ยอมรับมันอีกเหรอ! ฉันรู้ว่านายกำลังกลัวอะไร นายได้อ่านข่าวบ้างไหม? ตอนนี้ฝรั่งเศสกำลังตามล่าอาชญากรที่ช่วยเหลือเยอรมันอยู่ และฮิลล์…นายได้ช่วยพวกเยอรมันในการค้นหางานศิลปะโบราณในช่วงการยึดครองของเยอรมันใช่ไหม? แถมรัฐบาลฝรั่งเศสก็ให้ค่าหัวของผู้หลบหนีไว้สูงมากด้วย ถ้าฉันส่งนายไปให้รัฐบาลฝรั่งเศส นายลองคิดดูสิว่าพวกเขาจะทำอะไรกับนาย” ชายสวมหน้ากากพูดอย่างข่มขู่

หน้าอกของฮิลล์สั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ดีว่าการส่งเขากลับไปฝรั่งเศสจะเป็นอย่างไร 

ซึ่งสิ่งที่เขาทำ มันอาจจะทำให้เขาถูกทรมานจนตาย และการแขวนคออาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขามากกว่า

“ไม่ ไม่ ผมไม่ใช่ฮิลล์จริงๆ” ฮิลล์ยังคงพยายามปฏิเสธ

ชายสวมหน้ากากเดินเข้ามาใกล้ฮิลล์และพูดด้วยรอยยิ้ม “นายรู้ไหมว่าพวกเราเป็นใคร?”

“ใคร?”

“เราไม่ได้เป็นสมาชิกของรัฐบาลฝรั่งเศส ชาวฝรั่งเศสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรา พวกเราคือกลุ่มโจรสิ่งที่เราต้องการก็คือ ‘เงิน’”

“เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่า…ฉันหมายถึงอะไร?”

ดวงตาสีเทาที่ตายไปแล้วของฮิลล์ค่อยๆ เปลี่ยนไปและพูดอย่างกังวล “ถ้าคุณต้องการเงินผมสามารถให้คุณได้ตามที่ต้องการ!”

“นายคิดว่านายมีค่ามากแค่ไหน?” ชายสวมหน้ากากถาม

ฮิลล์ลังเล็กน้อยที่จะพูด เพราะถ้าเขาให้น้อยเกินไปเขาก็จะตายลงในที่สุด เขาจึงกัดฟันและพูดว่า “ผมยินดีที่จะจ่าย 50,000 ดอลลาร์ให้กับพวกคุณ”

ชายสวมหน้ากากส่ายหัวและหัวเราะเยาะสองครั้ง

“ยังห่างไกลจากสิ่งที่ฉันต้องการ”

“พวกเราได้ตรวจสอบนายมาแล้ว หลังจากที่นายมาถึงสหรัฐอเมริกา นายก็ใช้จ่ายมากกว่า 130,000 ดอลลาร์ในการซื้อโรงกลั่นเหล้าองุ่น นายน่าจะขายเครื่องประดับที่ขโมยมาใช่ไหม? ฉันเชื่อว่าเมื่อนายมาที่สหรัฐอเมริกาจากฝรั่งเศส นายต้องนำของดีมามากมาย ฮิลล์ถ้านายยังต้องการที่จะอยู่รอดจงพูดมันออกมาให้หมด!” ชายสวมหน้ากากตะโกนอย่างข่มขู่

หัวใจของฮิลล์กระตุก

เขารู้ว่าคนเหล่านี้น่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาไปหมดแล้ว พวกเขามีพลังมากจริงๆ และน่าจะไม่ปล่อยเขาออกไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

หากฉันต้องการจะรอดจากตรงนี้คงต้องเสนอเงินให้มากกว่าเดิม

“ผมมีตู้เซฟที่ธนาคารเวลส์ ฟาร์โกในซานฟรานซิสโก มันเต็มไปด้วยเครื่องประดับของผมที่เก็บไว้ ส่วนกุญแจสำหรับตู้เซฟนั้นอยู่ในลิ้นชักของสำนักงานโรงกลั่นเหล้าองุ่นของผม คุณสามารถพาผมไปที่โรงกลั่นเหล้าองุ่นของผมและผมจะช่วยคุณเอากุญแจออกมาได้” ฮิลล์กล่าว

“ฮ่าๆ ไม่จำเป็น เราสามารถเอากุญแจออกมาได้ด้วยตัวเอง เพียงแค่นายบอกรหัสผ่านมาก็พอ” ชายสวมหน้ากากพูดเบาๆ

ฮิลล์หลับตาด้วยความเจ็บปวด

“รหัสผ่านคือ XXXXXX”

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

กระเป๋าเดินทางก็ถูกวางไว้ที่หน้าฮาร์ดี้ 

ฮาร์ดี้เปิดกระเป๋าเดินทาง และเขาก็ว่าข้างในเป็นกล่องเครื่องประดับจำนวนมาก 

เขาจึงเปิดขึ้นมาหนึ่งกล่อง 

ซึ่งภายในก็มีสร้อยคอเพชรเม็ดงามพร้อมจี้มรกตห้อยอยู่ด้านล่าง

พร้อมกับเปิดกล่องเครื่องประดับอื่นๆ

เข็มกลัดที่เต็มไปด้วยอัญมณี

ต่างหูฝังพลอยไพลิน

สร้อยคอเพชร

แม้ว่าฮาร์ดี้จะไม่รู้เรื่องเครื่องประดับมากนักแต่เขาก็รู้เกี่ยวกับแบรนด์เครื่องประดับเช่น ‘แวนคลีฟแอนด์อาร์เปลส์’ ‘บูเชรอง’ ‘หลุยส์วิตตอง’ และ ‘ปารีส’ 

เพียงแค่มองดูแบรนด์เครื่องประดับเหล่านี้ เขาก็รู้ว่ามันมีคุณค่าแค่ไหน

นอกจากนี้ยังมีอัญมณีที่ยังไม่ได้แปรรูปเช่นมรกตโคลอมเบียขนาดใหญ่ ทับทิม เพชร โอปอลเป็นต้น 

ฮาร์ดี้หยิบทับทิมขนาดเท่านิ้วโป้งขึ้นมา และคิดดูแล้วมันน่าจะมีค่ามาก 

ซึ่งฮาร์ดี้ก็เดาว่ามูลค่าของอัญมณีชุดนี้น่าจะไม่ต่ำกว่าสองหรือสามล้านดอลลาร์สหรัฐ

เฮนรี่ยิ้มและพูดว่า “ผมยังถามฮิลล์อีกว่าเขาได้อัญมณีชุดนี้มาจากไหน เขาบอกว่าเมื่อตอนที่รวบรวมศิลปะโบราณ เขาก็ได้เจอกับอัญมณีพวกนี้ด้วย เขาสนใจภาพวาดสีน้ำมันพวกนั้นมากแต่มันก็มีขนาดใหญ่เกินไป มันไม่มีทางที่จะซ่อนพวกเขาได้ แต่อัญมณีเหล่านี้มีขนาดเล็กมาก เขาจึงทำการซ่อนมันครั้งละหนึ่งหรือสองชิ้นตราบเท่าที่เขามีโอกาส”

“เมื่อเขาหนีไปยังสหรัฐอเมริกา เขาก็นำอัญมณีเหล่านี้มาเท่านั้น และขายเข็มกลัดให้กับบริษัทเครื่องประดับหนึ่ง ซึ่งเขาก็ได้รับเงินมากกว่าหนึ่งหมื่นดอลลาร์ เขาจึงใช้เงินเพื่อที่จะหาคนที่ทำให้เขาเป็นคนอเมริกันได้และทำการเปลี่ยนชื่อเป็นแจ็คกู้ดวิน”

“ในช่วงเวลาต่อมาเขาก็ขายเครื่องประดับอีกสองสามชิ้น และใช้เงินซื้อโรงบ่มไวน์ในนาปาวอเลย์และโรงบ่มไวน์ในบอร์โด”

ฮาร์ดี้วางเครื่องประดับลง ปิดกล่องและพูดกับเฮนรี่ว่า “สอบสวนเขาต่อไป เราต้องการวัตถุโบราณที่เขายังซ่อนไว้มากกว่า”

Leave a Comment

ไม่ดี!