ตอนที่ 125 มีคนโกงเงินฉัน
ฮันเยจินยังคงเล่าเรื่องต่อไป
“ลีโอบอกว่าหลุยส์รับใช้กองทัพในตอนนั้นและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้าน ต่อมาสงครามเกิดขึ้นและหลุยส์ได้ต่อสู้กับเยอรมัน หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง หลุยส์ก็กลับไปที่บ้านเกิดของเขาและก็ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น ซึ่งตอนนี้เหลือเขาแค่คนเดียว”
“สมัยนั้นเยอรมันรื้อค้นวัตถุโบราณและงานศิลปะในฝรั่งเศสทั้งหมด แต่พวกเขาหลายคนก็มาช้าเกินไป เพราะมันถูกเคลื่อนย้ายไปหมดแล้ว พร้อมกับบางส่วนที่ถูกซ่อนอยู่ในถ้ำ ต่อมากองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยึดของสะสมเหล่านี้ไว้ พวกเขาได้จัดตั้งคณะกรรมการจัดการศิลปะที่ถูกปล้นมาเพื่อคืนศิลปะเหล่านี้กลับไป ศิลปะชิ้นไหนตราบใดที่มีหลักฐานมาแสดง พวกเขาจะส่งคืนกลับไปให้”
“โชคดีที่แกลเลอรี่ของบ้านหลุยส์ได้เคยเปิดขายศิลปะเหล่านี้ ภาพวาดทุกภาพในแกลเลอรี่จึงมีประวัติอยู่ครบอยู่แล้ว หลุยส์พบสมุดบัญชีในเวลาต่อมา หลังจากที่รัฐบาลตรวจสอบว่ามันถูกต้องแล้วแกลเลอรี่ก็ส่งคืนภาพเขียนของแกลเลอรี่ให้กับหลุยส์” “
“ซึ่งตอนนี้เพื่อนของเขามีภาพวาดทั้งหมด 227 ภาพอยู่ในมือ มีผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับผลงานของศิลปินสมัยใหม่ที่มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของภาพวาดทั้งหมดในแกลเลอรี่”
เมื่อพูดเรื่องนี้จบชายวัยกลางคนก็ยักไหล่
“คุณรู้ไหมสงครามเพิ่งจะจบลงและการใช้ชีวิตในฝรั่งเศสก็ยากลำบากมาก แม้ว่าหลุยส์เพื่อนของฉันจะมีภาพวาดสีน้ำมันจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่มีรายได้เข้ามาเลย”
“แล้วทำไมเขาไม่ขายมัน?” อิริน่าถาม
อิริน่าเองก็มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส เธอมายังสหรัฐอเมริกากับพ่อแม่ของเธอในเวลานั้น แต่เธอก็ยังเคยอยู่กับญาติของเธอในฝรั่งเศส
เธอเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับการปล้นศิลปะของฝรั่งเศสโดยชาวเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิวและเกือบทั้งหมดได้ถูกค้นพบ
“ชีวิตในฝรั่งเศสตอนนี้มันไม่ง่ายเลย ผู้คนไม่ได้ต้องการงานศิลปะหลังจากเกิดสงครามและราคาก็ถูกลงเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่นภาพวาดที่ผมขายให้คุณเป็นหนึ่งในภาพวาดของครอบครัวหลุยส์ ซึ่งตัวแทนจำหน่ายภาพสีน้ำมันในฝรั่งเศสเสนอราคาให้ผมเพียง 400 ดอลลาร์ หลุยส์จึงขอให้ผมเอามันมาที่อเมริกาเพื่อลองขาย ผมจึงมาที่อเมริกาไปถามบริษัทประมูลและแกลเลอรี่อยู่หลายแห่ง และได้รู้ว่าโดยทั่วไปราคาจะอยู่ระหว่าง 1,500 ถึง 2,000 ดอลลาร์ ราคาสูงสุดคือ 2,300 ดอลลาร์ ซึ่งมันมากกว่าถึงสี่หรือห้าเท่าของที่ฝรั่งเศส”
“และเมื่อผมมาถึงหลุยส์ได้บอกผมว่าอยากหาผู้ซื้อที่ดี เพราะเขานั้นอยากขายงานศิลปะทั้งหมดเหล่านี้ อย่างไรก็ตามตอนนี้รัฐบาลห้ามไม่ให้ส่งผลงานที่มีชื่อเสียงบางชิ้นออกนอกประเทศ ดังนั้นธุรกิจนี้จึงค่อนข้างผิดกฎหมาย”
“หลังจากขายได้ เขาวางแผนที่จะอพยพจากที่นั้น เขาได้อ่านข่าวเกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาและรู้ว่าชีวิตที่นี่มีความสุขมาก เขาจึงวางแผนที่จะซื้อฟาร์มและอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาหลังจากได้เงิน”
ฮาร์ดี้จำได้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฮันเยจินได้บอกเขาว่า พวกเธอได้พบกับผู้ขายรายใหญ่ที่มีผลงานศิลปะระดับไฮเอนด์หลายชิ้นรวมถึงภาพวาดที่มีชื่อเสียงของโมเนต์เซซานและปิกัสโซ่
ซึ่งนี่อาจเป็นสิ่งที่พวกเธอกำลังพูดถึง
เขาจำได้ว่าเขาเตือนฮันเยจิน ในเวลานั้นว่าต้องระมัดระวังเมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้
แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกหลอกจริงๆ
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” ฮาร์ดี้ถาม
ฮันเยจินถอนหายใจและพูดต่อว่า “เราแสดงความตั้งใจที่จะซื้อภาพวาดชุดนี้ ส่วนเรื่องการขนส่งเราจะมาคิดกันที่หลัง ฉันคิดในตอนนั้นว่าถ้าการซื้อขายประสบความสำเร็จ ฉันจะปล่อยให้คุณขนย้ายมัน ฉันรู้ว่าคุณมีทางอยู่แล้ว”
ฮาร์ดี้รู้แล้วว่าทำไม
ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง
“ชายคนนั้นบอกเราว่าเขาจะติดต่อเพื่อนของเขาในฝรั่งเศสและมาหาเราเมื่อได้ข่าว แต่เขากลับจากไปนานกว่าหนึ่งเดือน เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็บอกว่าเพื่อนของเขาจะขายภาพวาดเหล่านั้นเรื่องราคานั้นเขาจำเป็นต้องต่อรองแบบตัวต่อตัว เพราะท้ายที่สุดคุณค่าของภาพวาดแต่ละภาพก็แตกต่างกันออกไปอย่างมาก”
“ฉันเลยตกลงที่จะส่งสองผู้ประเมินไป หลังจากการประชุมครั้งนี้ชายวัยกลางคนก็หายไปอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่กี่วันเขากลับมาและบอกว่าข้อตกลงกับเราถูกยกเลิกชั่วคราว เพราะพวกเขาพบผู้ที่จ่ายมากกว่า”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ฮันเยจินก็ทำหน้าบึ้งตึง “ตอนนั้นฉันค่อนข้างหงุดหงิด เพราะธุรกิจดีๆ อยู่ๆ ก็บินหายไป”
“แต่หลังจากเดือนกว่า ลีโอชายก็กลับมาอีกครั้งและบอกเราว่าข้อตกลงระหว่างเขาและผู้ซื้อคนนั้นได้เปลี่ยนไป อีกฝ่ายหนึ่งพูดได้ดีมากในตอนต้นว่าจะให้ราคาสูงและเขาก็ส่งคนไปประเมินราคา ต่อมาเขาก็พบว่าราคาทั้งหมดนั้นถูกลงอย่างจงใจ ซึ่งน้อยลงมากกว่าสองเท่าต่อราคาที่หลุยส์ประเมินไว้ จนสุดท้ายดีลนั้นก็ถูกยกเลิก”
“ฉันเลยถามเขาตอนนั้นว่าผู้ซื้อเสนอราคาเท่าไหร่? ลีโอบอกว่าอีกฝ่ายเสนอราคา 1.06 ล้าน หลุยส์ขอให้คนมาดูและบอกว่างานศิลปะเหล่านี้น่าจะขายได้ในราคา 2 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา “
“แล้วคุณโดนหลอกได้ยังไง?” ฮาร์ดี้ถาม
สีหน้าของ ฮันเยจินดูโกรธและเธอก็พูดอย่างเคร่งขรึม “เขาพูดอีกครั้งว่าเขาจะช่วยเราติดต่อหลุยส์เพื่อนของเขาอีกครั้ง หลังจากรอไม่กี่วัน เขาก็กลับมาบอกว่ามีข่าวร้าย เพื่อนของเขาหลุยส์ได้เอาภาพวาดเหล่านี้ไปเข้าธนาคาร เขาได้กู้เงินออกไปจำนวนหนึ่งซึ่งเท่ากับ 100,000 ดอลลาร์ โดยการใช้ภาพวาดสีน้ำมันเหล่านี้ไปจำนองกับธนาคาร”
“ก็คือตอนนี้ธนาคารกำลังเก็บภาพจิตรกรรมชุดนั้นไว้ และต้องการยกเลิกข้อตกลง ซึ่งถ้าเราต้องการซื้อภาพวาดเหล่านี้ เราจะต้องการจ่ายเงินที่ค้างชำระไว้ก่อนใช่ไหม? และเมื่อเราได้ภาพวาดคืน เงินที่จ่ายออกไปจะเอามาหักล้างทีหลัง”
ฮาร์ดี้กล่าว
เข้าใจแล้ว
จริงๆ เขาก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะตัวเองก็เชี่ยวชาญในด้านนี้
“ตอนนั้นฉันยังจับตาดูเขาอยู่และเขียนเช็คเงินสดเป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์และขอให้นายมัสก์รับลูกน้องคนหนึ่งไป และทั้งสองคนก็เดินทางไปฝรั่งเศสพร้อมกับเลโอเพื่อติดต่อหลุยส์ หากเป็นเช่นนี้ฉันถึงยอม โดยการช่วยเขาจ่ายเงินธนาคารก่อนและยกเลิกการเอาภาพสีน้ำมันที่เอาไปจำนองไว้ “
“แต่มีบางอย่างผิดพลาดเมื่อเราออกเดินทาง มัสก์บอกว่าลีโอโกงเช็คของพวกเขาและหายตัวไป “
ฮันเยจินพูดจบก็มองไปที่มัสก์ที่ยืนอยู่ในฝูงชน
ปีนี้มัสก์อายุจะสามสิบแล้ว เขาเคยทำงานให้กับบริษัทประมูลอื่นและมีประสบการณ์ที่ในการซื้อศิลปะและของเก่า
เขาได้รับเชิญจากฮันเยจินให้เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดซื้อของแผนกศิลปะ
ฮาร์ดี้หันไปมองมัสก์ด้วย
เมื่อมัสก์เห็นฮาร์ดี้มองมาที่เขา ใบหน้าของเขาก็รำคาญเล็กน้อยและพูดว่า “หัวหน้าไม่ใช่ว่าผมไม่ระวัง ผมคิดว่าคนๆนั้นต้องเป็นนักหลอกลวงมืออาชีพ ผมแค่ยื่นเช็คให้เขาดูและหลังจากเขาทำมันตก เช็คปลอมก็มาอยู่ที่ฉันทันที”
เขาพูดถึงการได้เช็คปลอมมาแล้วก็นำไปยื่นให้ฮาร์ดี้
ฮาร์ดี้หยิบเช็คปลอมขึ้นมาดู ถ้าเขาไม่ได้ดูให้ดี มันคงยากที่คิดว่าเช็คอันนี้เป็นของปลอม
“เล่าเรื่องออกมาให้ละเอียดสิ” ฮาร์ดี้กล่าว
มัสก์พูดอย่างรวดเร็ว
“ผมได้รับเช็คจากคุณอิริน่าเมื่อเช้านี้และพาจอห์นนี่ ผู้ชายที่ชื่อลีโอไปที่สนามบินลอสแองเจลิส”
“ระหว่างรอเครื่องบินที่สนามบิน เรากำลังคุยกันถึงสถานการณ์ที่อาจพบระหว่างทางไปฝรั่งเศส แต่จู่ๆ ลีโอก็พูดว่าดูเช็คของคุณหน่อยสิเป็นเช็คของระหว่างประเทศที่สามารถนำไปใช้ในยุโรปได้หรือไม่?”
“ผมหยิบเช็คออกมาดูก็พบว่าเช็คใช้ได้ปกติ แต่ลีโอกลับยื่นมือของเขาออกมาและกล่าวว่าให้เขาดูด้วยสิ ผมคิดว่าตอนนั้นเราสองคนอยู่ข้างๆ เขาคงไม่สามารถทำอะไรได้อย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงให้เขาเอาไปตรวจสอบ หลังจากยื่นให้เขาลีโอก็รับเช็คใส่มือของเขาและมองไปที่มันไม่กี่ครั้งพร้อมกับยิ้มและส่งเช็คคืนให้ผม”
“ในตอนนั้นผมกับจอห์นจ้องเขาอยู่ตลอด และก็ไม่เจออะไรผิดปกติ เราเลยเอาเช็คกลับเข้ากระเป๋าตังค์ พร้อมกับที่ลีโอบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วเขาก็ออกไปโดยที่ไม่ได้ทักทายอะไรเลย”
“เรามองหาเขาอยู่สักพักแต่ลีโอก็ไม่กลับขึ้นเครื่องมา จอห์นกับผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เราจึงมองไปรอบๆ แต่ไม่พบใครเลย แต่เราก็รู้ว่ามันผิดปกติ ผมจึงไปเปิดกระเป๋าเดินทางของลีโอที่เต็มไปด้วยหนังสือพิมพ์และไม่มีอะไรอื่นเลย”
“เวลานี้เราสองคนรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่เช็คก็อยู่ในมือเรา ผมเลยคิดว่าเขาจะทำอะไรได้? แต่เมื่อเปิดกระเป๋าเงินเพื่อตรวจสอบเช็คก็พบว่าเช็คมันดูแปลกๆ กลายเป็นว่าตอนที่ลีโอกำลังดูมันอยู่ เช็คได้ถูกเปลี่ยนจากเช็คจริงเป็นเช็คปลอมในพริบตา”
ฮาร์ดี้ไม่สงสัยในคำพูดของมัสก์ เพราะมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ทันทีภายใต้จมูกของผู้อื่น
มัสค์ก้มหน้าลง “ตอนนั้นเราก็รู้ทันทีว่าเราถูกโกง จากนั้นผมก็รีบกลับไปรายงานหัวหน้า ขอโทษหัวหน้าที่ทำงานผิดพลาด”
หลังจากพูดจบเขาก็เหลือบมองไปที่ฮันเยจินด้วยความเขินอาย
ฮาร์ดี้พยักหน้ามองไปที่ผู้บริหารและผู้ประเมินของบริษัทที่อยู่รอบๆ ตัวเขาและแสดงรอยยิ้มจางๆ “โอเค ฉันรู้เรื่องนี้แล้ว จากนี้ไปเรื่องนี้จะถูกจัดการโดยฉันเอง ตอนนี้บริษัทยังมีหลายสิ่งที่ต้องจัดการ ดังนั้นกลับไปที่ของคุณกันได้แล้ว!”
ผู้บริหาร และผู้ประเมินออกจากสำนักงานไปอย่างรวดเร็ว
มีเพียงฮาร์ดี้ ฮันเยจินและอิริน่าที่ถูกทิ้งไว้ในห้อง
หลังจากไม่มีบุคคลภายนอกในห้อง ฮันเยจินก็มองไปที่ฮาร์ดี้ด้วยดวงตาแดงก่ำของเธอ “ฉันขอโทษคุณฮาร์ดี้ คุณเตือนฉันก่อนหน้านี้แล้วแต่ฉันก็ยังถูกหลอกอยู่ดี”
“ฉันยอมรับจริงๆ ว่าฉันโลภมากในตอนนั้น การที่ลีโอเข้ามาหลายครั้งมันทำให้ฉันสับสน ซึ่งฉันก็ให้มัสก์กับจอห์นไปฝรั่งเศสด้วยตัวเอง ฉันคิดว่าฉันโง่มากที่ถูกโกงโดยอีกฝ่าย”
ขณะพูดหยาดน้ำตาสองหยดก็ไหลลงมา
หลังจากสูญเสียเงินไป 100,000 ดอลลาร์ ฮันเยจินก็โทษตัวเองหนักมาก
ฮาร์ดี้ก้าวไปข้างหน้าและเอื้อมมือออกไปปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของฮันเยจิน และดึงเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ปล่อยให้ศีรษะของหญิงสาวพิงเข้ามาที่ไหล่
“ไม่ต้องร้องไห้ มันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องกังวัลฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง ฉันจะขอให้เพื่อนช่วยหามันและบางทีมันก็อาจจะกลับมาเร็วๆ นี้” ฮาร์ดี้กล่อมเธอ
มันไม่มีความหมายอื่นอย่างแน่นอน…
เพราะที่เขากอดฮันเยจินแบบนี้ เขาก็แค่อยากจะปลอบใจเธอเท่านั้นเอง…
เมื่อถูกฮาร์ดี้จับไว้ในอ้อมแขน ฮันเยจินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร แต่เธอรู้สึกแค่ว่ามันอบอุ่น แข็งแกร่งและพึ่งพาได้
“หากไม่สามารถเอาเงินมาคืนได้ ฉันจะใช้เงินของฉันเพื่อชดเชยการสูญเสียนี้เอง!” ฮันเยจินพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
ฮันเยจินและฮาร์ดี้เคยทำข้อตกลงความร่วมมือกันมาก่อน ซึ่งพวกเขาได้ตกลงกันไว้ว่าจะแบ่งปันศิลปะร่วมกัน 5%
ส่วนการสูญเสียเงิน 100,000 ดอลลาร์ในครั้งนี้ เขาคาดว่าเธอน่าต้องทำงานเป็นเวลา 2 ปี
“ฉันบอกว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม้ว่าจะต้องสูญเสียฉันก็จะไม่ปล่อยให้คุณชดใช้เพียงลำพังหรอก” ฮาร์ดี้กล่าว
…
อิริน่าที่ยืนอยู่ตรงนี้…
เมื่อเห็นฮาร์ดี้ปลอบฮันเยจินอยู่ในอ้อมแขนของเขา เธอก็แอบด่าเขาในใจเล็กน้อย
หัวหน้าจอมฉวยโอกาส!
เขาใช้ประโยชน์จากความเศร้าของเยจิน ดึงเธอเข้ามากอดไว้แน่นทีเดียว
และเธอกะพริบตาโตๆ ของเธอ
พร้อมกับการแสดงออกที่น่าเศร้าปรากฏบนใบหน้าของเธอทันที
เธอเดินไปหาฮาร์ดี้และพูดด้วยเสียงที่เศร้า “บอส ฉันก็เจ็บใจเหมือนกัน ฉันไม่รู้เลยว่าชาวฝรั่งเศสคนนั้นจะเป็นคนโกหก ฮืออ”
หลังจากเธอพูดจบ เธอก็เข้าไปกอดฮาร์ดี้
ฮาร์ดี้รู้ว่าเธอกำลังแกล้งทำ เขาจึงวางฝ่ามือไปที่บนหน้าผากของอิริน่า
อิริน่าก็โดนฮาร์ดี้บล็อคทันทีและทำให้เข้าไปกอดเขาไม่ได้
การร้องไห้ของอิริน่าหยุดลงทันทีและเธอก็มองไปที่ฮาร์ดี้อย่างโง่เขลา
ใบหน้าของเธอวาบขึ้นด้วยความรำคาญเล็กน้อยที่ฮาร์ดี้ไม่สนใจเธอ
ฮันเยจินดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างเธอจึงออกมาจากอ้อมแขนของฮาร์ดี้และเช็ดน้ำตาที่แก้มของเธอ
….
ฮาร์ดี้เดินไปที่โทรศัพท์และโทรไปที่เอชดีซีเคียวริตี้ “แลนสเตอร์มีบางอย่างผิดปกติกับบริษัทประมูล พวกเขาถูกโกงเงินไปจำนวนหนึ่ง คุณช่วยนำคนจากสำนักงานวิจัยกลยุทธ์และแผนกข่าวกรองมาหาวิธีว่าคนที่โกงเราไปอยู่ที่ไหนในตอนนี้”
“เข้าใจแล้ว ฉันไปเดี๋ยวนี้”
จากนั้นฮาร์ดี้ก็โทรหาบิลอีกครั้งและขอให้เขาตรวจสอบการเดินทางของลีโอจอมโกหกในลอสแองเจลิส
ซึ่งฮาร์ดี้เพียงแค่ออกคำสั่ง ขุมกำลังในลอสแอนเจลิสก็เริ่มขยับครั้งใหญ่…