ตอนที่ 108 ไม่เสียสักเพนนี
ในตอนเย็น
เจ้าพ่อมาเฟียได้รับโทรศัพท์จากรองนายกเทศมนตรีของเมืองนิวยอร์ค
“วีโต้ฉันได้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับบริษัทมิโบและธุรกิจสินเชื่อผ่อนชำระของธนาคารซิตี้แบงก์แล้ว โรงงานผลิตโทรทัศน์นั่นเป็นทรัพย์สินของลูกชายนายใช่ไหม?”
“ใช่ ลูกชายคนเล็กของฉันเอง เขาเพิ่งกลับจากการเป็นทหารและได้ไปทำธุรกิจ” เจ้าพ่อมาเฟียยิ้ม
“พวกเขามีนโยบายสำหรับทหารด้วยใช่ไหม? เช่นจะได้รับโทรทัศน์พร้อมกับไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์แค่ต้องชำระคืนใน 12 งวด มันก็คือไม่ต้องจ่ายเงินสักดอลลาร์ใช่ไหม?” รองนายกถามเขา
“ใช่! ไมค์และหุ้นส่วนของเขาทั้งคู่มีภูมิหลังเป็นทหาร ดังนั้นพวกเขาจึงทำส่วนลดพิเศษสำหรับบุคลากรทางทหารขึ้นมา” เจ้าพ่อมาเฟียกล่าว
รองนายกเทศมนตรีถอนหายใจ “วีโต้ เราเพิ่งจบสงครามเมื่อไม่นานมานี้และทหารเหล่านี้ก็สูญเสียอะไรไปหลายอย่างสำหรับประเทศนี้ พวกเขาควรได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้”
“ฉันมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ฉันจะโปรโมทโรงงานโทรทัศน์ให้แลกกับโปรโมชั่นนี้ ซึ่งมันจะเป็นการเพิ่มพูนกำลังใจกับเหล่าทหารอีก นายคิดว่ามันดีไหม?”
“แน่นอนฉันเชื่อว่าทหารจะมีความสุขมากที่ได้รู้ข่าวนี้”
“ฉันจะให้หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์รายงานในวันพรุ่งนี้ว่าโปรโมชั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนิวยอร์กเพื่อเหล่าทหารกล้า นายคิดว่าไง?”
“ไม่มีปัญหาฉันจะบอกเด็กสองคนนั้นให้ และเชื่อฉันว่าพวกเขาเต็มใจที่จะรับมันอย่างแน่นอน” เจ้าพ่อมาเฟียกล่าว
““แค่นี้นะวีโต้ ไว้เรามาคุยกันอีกครั้ง”
“ไว้เจอกัน”
หลังจากวางหูโทรศัพท์เจ้าพ่อมาเฟียก็ยิ้มออกมา
เขาเข้าใจความคิดของนักการเมืองเหล่านี้
เพราะไม่นานมานี้หนังสือพิมพ์ได้บอกว่ามีวุฒิสภาคนหนึ่งกล่าวว่าทหารเหล่านี้ได้เสียสละในสงครามไปเยอะมาก
เขาจึงคิดว่าเราต้องดูแลพวกเขาให้ดีกว่านี้
แม้ว่าสภาคองเกรสจะไม่อนุมัติเงินทุนที่เขาร้องขอ แต่ความคิดเห็นของประชาชนกลับเห็นด้วยกับคำแถลงนี้ และยังกล่าวว่ารัฐบาลควรมีนโยบายที่เหมาะสมสำหรับบุคลากรทางทหารให้มากกว่านี้
นี่แหละคือการเมือง ที่จะไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายอื่นๆ มีสิทธิ์เข้ามายุ่งเกี่ยว
เมื่อเห็นว่าโรงงานโทรทัศน์กำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับทหาร
นักการเมืองเหล่านี้ก่อเสนอหน้ามาทันที
ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับโรงงานโทรทัศน์และไม่เป็นอันตรายกับทั้งสอง แถมยังได้รับผลประโยชน์เพิ่มอีกด้วย
แล้วการช่วยเหลือครั้งนี้ของเขา ก็จะได้รับการตอบแทนในอนาคต
เมื่อเขามีสิ่งที่ต้องการให้ช่วยแค่โทรหาอีกฝ่ายมันก็จะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธแล้ว
แต่จริงๆ แล้ว
สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรกับเจ้าพ่อมาเฟียอย่างเขาหรอกเพราะตอนนี้เขามีความสุขแล้วที่ลูกชายของเขาประสบความสำเร็จ
เขารู้สึกโล่งใจกับความสำเร็จของลูกชายของเขา
วันต่อมา
นิวยอร์กไทมส์ได้รายงานว่า
บริษัทมิโบในนิวยอร์กได้เปิดตัวโปรโมชั่นส่วนลดเงินดาวน์ โดยที่คุณไม่ต้องเสียสักดอลลาร์ ไม่มีดอกเบี้ย
แค่เป็นทหารก็สามารถไปซื้อชุดโทรทัศน์นี้ได้เลย
ซึ่งโปรโมชั่นนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนิวยอร์กเพื่อยกย่องทหารที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศนี้
ในขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์อื่นๆ ยังยกย่องแนวทางของบริษัทมิโบในนิวยอร์กที่ช่วยสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเพื่อที่จะได้ดูแลบุคลากรทางทหารให้มากขึ้น
ฮาร์ดี้ยิ้มเล็กน้อยหลังจากอ่านหนังสือพิมพ์
จมูกหมาของนักการเมืองเหล่านี้ช่างไวจริงๆ
อาศัยเกาะกระแสของคนอื่น
ไม่รู้ว่าหน้าของพวกเขาทำมาจากอะไร…ถึงกับเอาความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นของตัวเองโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินสักเพนนีเดียว
อย่างไรก็ตามรายงานฉบับนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อบริษัทมิโบไม่น้อย
เพราะมีคนจำนวนมากที่ไปที่ธนาคารซิตี้แบงก์เพื่อขอสินเชื่อซื้อโทรทัศน์ และส่วนใหญ่ก็เป็นบุคลากรทางทหาร
แล้วมีชาวอเมริกันอยู่กี่คนที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่สอง?
จากสถิติประชากรที่สำรวจมานั้นมีมากกว่า 12.5 ล้านคน
ซึ่งมีผู้เสียชีวิตไม่เกิน 300,000 คน
ถ้าจะให้พูดก็คือคนที่เหลืออีก 12 ล้านคนล้วนเป็นแรงงานที่แข็งแกร่งของประเทศ
เป็นกำลังหลักที่จะสนับสนุนประเทศในอนาคตและเป็นกำลังหลักของครอบครัวของพวกเขา
ถ้าคนเหล่านี้กลายเป็นลูกค้าของบริษัทของเขา
พวกเขาจะเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่มากๆ
และในการออกโปรโมชั่นนี้ออกมา บริษัทมิโบก็ได้สร้างชื่อเสียงในกลุ่ม 12 ล้านคนนี้แล้ว
ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาธุรกิจในอนาคต
หลังจากบทความนี้เผยแพร่ออกไป
ผู้คนจำนวนมากก็ไปที่ธนาคารเพื่อขอสินเชื่อเพื่อซื้อโทรทัศน์
และในวันถัดมาก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จากสถิติมีคนมากกว่า 5,000 คน
ที่เสนอคำแนะนำจากที่อื่นๆ ว่าอยากให้ไปที่เมืองอื่นบ้าง
พวกเขาจึงรีบไปที่ธนาคารซิตี้แบงก์เพื่อถามว่า เมื่อไรโปรโมชั่นนี้จะไปจัดที่เมืองอื่นๆ
ไมค์จึงต้องไปหาฮาร์ดี้อีกครั้ง
“ฮาร์ดี้ ฉันต้องการขยายการผลิต!”
ฮาร์ดี้ชะงักไปครู่หนึ่ง
“นายไม่ได้บอกฉันเมื่อวานนี้แล้วเหรอ? ฉันก็เห็นด้วยกับนายไปแล้วว่าให้เพิ่มการผลิตได้” ฮาร์ดี้สงสัยว่าทำไมไมค์ถึงมาคุยเรื่องนี้อีก
ไมค์ส่ายหัว
“การขยายการผลิตครั้งนี้มันยิ่งใหญ่กว่าตอนที่ฉันพูดครั้งแรกมาก ตอนนี้ฉันต้องการสร้างโรงงานที่สามารถผลิตชุดโทรทัศน์ได้ปีละ 400,000 ชุด!” ไมค์กล่าว
ฮาร์ดี้ตกใจ
400,000 ชุด?
มันนับเป็นสิบเท่าของปัจจุบัน
“นายเชื่อว่าในอนาคตอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะเติบโตได้หรือไม่?” ไมค์ถาม
“แน่นอนว่าฉันเชื่อ” ฮาร์ดี้พยักหน้า
เขารู้ดีเกี่ยวกับมันด้วยซ้ำเพราะถ้าเมื่อไหร่ที่อุตสาหกรรมโทรทัศน์ได้เติบโตขึ้น อุตสาหกรรมภาพยนตร์จะค่อยๆ ถูกบีบให้หายไป
ในช่วงสิบปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจำนวนชุดโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ล้านชุดเป็น 10 ล้านชุด!
สิบปีต่อมาในปี 1965 ชุดโทรทัศน์ก็ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และประชากร 30 ล้านครัวเรือนก็มีชุดโทรทัศกันหมด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงและมีผลกำไรที่ดีมากในอีก 20 ปีข้างหน้า
“ฉันเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเพิ่มกำลังผลิตให้มากขึ้น ฉันได้พูดคุยกับผู้บริหารของธนาคารซิตี้แบงก์ทางโทรศัพท์แล้ว พวกเขามองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมโทรทัศน์และยินดีที่จะให้เรากู้ยืมเงิน ซึ่งตอนนี้พวกเขาตกลงที่จะให้เรายืมเงินเป็นจำนวน 6 ล้านดอลลาร์”
ฮาร์ดี้รู้สึกประหลาดใจ
6 ล้านดอลลาร์?
ธนาคารซิตี้แบงก์ใจป๋าจริงๆ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมองโลกในแง่ดีมากเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้
“แล้วฉันก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วฉันวางแผนที่จะเปิดตัวสายการผลิตขนาด 14 นิ้วจำนวนแปดสาย เพราะฉันเชื่อว่าสายการผลิตขนาด 14 นิ้วจะยังคงเป็นกระแสอยู่ และหลักจากนั้นฉันก็จะเปิดตัวสายการผลิตขนาด 17 นิ้ว 6 สาย สายการผลิตขนาด 19 นิ้วอีก 2 สายการผลิต”
เมื่อเขาพูดคุยกับไมค์เรื่องเพิ่มการผลิต
เขาก็บอกเรื่องต้นทุนกับไมค์ด้วย
ซึ่งสายการผลิตขนาด 14 นิ้วมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500,000 ดอลลาร์
สายการผลิตขนาด 17 นิ้วมีค่าใช้จ่าย 800,000 ดอลลาร์
สายการผลิตขนาด 19 นิ้วมีค่าใช้จ่าย 1 ล้านดอลลาร์
ฮาร์ดี้คิดคำนวณในใจตามตัวเลขที่ไมค์รายงานให้ฟัง ซึ่งต้นทุนก็น่าจะประมาณ 10.8 ล้านดอลลาร์และเงินกู้ธนาคารที่ให้มา 6 ล้านดอลลาร์ดูแล้วน่าจะไม่พอ
แต่ไมค์ก็มีไอเดียเป็นของตัวเอง
“ฮาร์ดี้ ฉันวางแผนที่จะไปเจรจาต่อรองกับบริษัทที่ประกอบเครื่องให้กับเรา หนึ่งคือการลดค่าใช้จ่าย ถ้าเราส่งออเดอร์ให้กับเขาเยอะอย่างน้อยก็ให้เขาลดให้เรามากกว่า 10% นอกจากนี้ก็ให้มีแบบผ่อนชำระ ฉันวางแผนที่จะจ่ายเงินมัดจำให้พวกเขา 30% และอีก 20 % จะจ่ายหลังจากทำสัญญาและเริ่มการผลิตแล้ว ซึ่งอีก 50% ที่เหลือจะจ่ายให้หมดภายในสามปี แน่นอนการจ่ายดอกเบี้ยจะคำนวณตามดอกเบี้ยของธนาคาร”
ฮาร์ดี้พบว่าวิธีการของไมค์นั้นฉลาดมาก ซึ่งเทียบเท่ากับการขอให้บริษัทรับประกอบให้เงินกู้ครั้งที่สองแก่พวกเขา
ในช่วงเวลานั้นบริษัทโทรทัศน์ก็คงเริ่มทำกำไรได้แล้ว และมีความสามารถในการชำระเงินคืน
เขาต้องยอมรับว่าความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ของไมค์นั้นคู่ควรกับการเป็นเจ้าพ่อรุ่นที่สองอย่างแท้จริง
และเขายังแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญที่จะลงทุนในธุรกิจอีก
“ตกลง! ฉันเห็นด้วย” ฮาร์ดี้ตอบ
ไมค์ยิ้ม
การสนับสนุนของคู่หูของเขาคือความมั่นใจที่ดีที่สุดสำหรับเขา มันทำให้เขามั่นใจมากขึ้นในการทำสิ่งนี้
“ฮาร์ดี้ฉันวางแผนที่จะแบ่งโรงงานเป็นสองแห่ง เพราะจากนี้ไปชุดโทรทัศน์ของเราจะขายได้ทั่วสหรัฐอเมริกา ถ้าเราผลิตแค่ในนิวยอร์กมันอาจจะมีปัญหาเรื่องการขนส่งไปขายที่ต่างๆ ได้”
“ในอีกโรงงานหนึ่งฉันจะส่งทีมผู้บริหารและช่างเทคนิคไป พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรกับโรงงานนั้นแค่เราต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับความปลอดภัยรอบๆ โรงงานเท่านั้น”
ฮาร์ดี้ยิ้ม “ฉันเก่งเรื่องการรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว อย่าลืมสิว่าฉันมีบริษัทเอชดีซีเคียวริตี้”
เขารู้ดีว่าไมค์พูดถึงอะไร
มันก็คือพวกอันธพาลทั้งหลายนี้แหละ
ซึ่งฮาร์ดี้ก็อ้างถึงบริษัทเอชดีซีเคียวริตี้เพราะพวกเขาเป็นบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับแก๊งอะไร
ไมค์หัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดของฮาร์ดี้
ทั้งสองนั่งคุยรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งไมค์ได้ไปตรวจสอบแล้ว ว่ามีโรงงานที่ผลิตโทรทัศน์อยู่แล้วในลอสแอนเจลิส ถ้ามันเหมาะสม เขาจะเข้าไปซื้อมันเอง
ซึ่งมันจะเร็วกว่าการสร้างด้วยตัวเอง และจะได้พนังงานที่มีทักษะแล้ว
เมื่อทั้งสองกำลังพูดคุยกันฮาร์ดี้ก็มองไปที่นาฬิกาของเขา
ไมค์มองไปที่ฮาร์ดี้และรู้ว่าเขาอาจจะมีบางสิ่งบางอย่าง เขาเลยถามว่า “นายมีอะไรต้องไปทำหรือเปล่า?”
“ทีมโฆษณาของบริษัทภาพยนตร์ของฉันมาที่นิวยอร์กวันนี้ ฉันว่าจะไปรอรับที่สนามบิน พวกเขาจะมาแสดงที่นิวยอร์กเพื่อโปรโมทภาพยนตร์ที่ฉันลงทุนไป” ฮาร์ดี้ตอบ
“แล้วมีอะไรให้ฉันช่วยไหม?” ไมค์ถามเพราะยังไงเขาก็เป็นเจ้าบ้านที่นี่
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไร การโฆษณาครั้งนี้ฉันได้ว่าจ้างคนจากบริษัทของเอ็มจีเอ็มแล้ว พวกเขาได้จัดการเซ็นสัญญากับบริษัทการแสดงในนิวยอร์กและมีงานแสดงบนบรอดเวย์ในคืนนี้” ฮาร์ดี้ตอบ
ไมค์มองไปที่เวลา “ฉันก็ว่างอยู่นะ เดี๋ยวฉันไปรอที่สนามบินด้วยแล้วกัน”
“มันจะเหมาะเจาะไปหรือเปล่า?”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรสักหน่อย?” ไมค์ขดริมฝีปากตัวเอง
ทั้งสองไปที่สนามบินนิวยอร์คด้วยรถคันเดียวกัน
ตอนที่พวกเขากำลังรอทั้งสองจึงพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของการสร้างโรงงานกันต่อ
และฮาร์ดี้ก็ได้รู้ว่าไมค์ต้องการอะไร กลายเป็นว่าหัวข้อเรื่องนี้ยังไม่จบ
เครื่องบินที่บินมาจากฟิลาเดลเฟียได้ลงจอด
ผู้กำกับโนแลน อีสต์วู้ด และพนักงานของเอ็มจีเอ็มเดินลงมา
เอวาที่เหลือบมองมาเห็นฮาร์ดี้ เธอก็รีบวิ่งไปอย่างตื่นเต้นเพื่อที่จะให้เขากอดเธอ ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นที่สาธารณะก็ตาม
และเธอก็จูบฮาร์ดี้อย่างรวดเร็ว
เมื่อไมค์เห็นเอวา เขาก็บอกได้เลยว่าเธอนั้นสวยมาก
มันไม่แปลกใจเลยที่ฮาร์ดี้จะไม่มีอารมณ์จะพูดคุยธุรกิจหลายสิบล้านกับเขา
กลายเป็นว่าฮาร์ดี้ออกมาหาสิ่งสวยงามนี้เอง
ฮาร์ดี้แนะนำไมค์ให้ทุกคนรู้จัก เพราะพวกเขาเป็นคู่หูกันและไม่มีใครในที่นี่รู้จักตัวตนของไมค์
คืนนั้น
ทั้งสองเหมือนคู่แต่งงานใหม่
เหมือนกับหน้าแล้งที่ยาวนานได้พบกับสายฝน…
ฮาร์ดี้กำลังฮัมเพลงอยู่
เอวานอนอยู่ในอ้อมแขนของฮาร์ดี้พร้อมกับใบหน้าที่พึ่งพอใจ
“เธอเหนื่อยที่จะวิ่งไปมาแบบนี้หรือเปล่า?” ฮาร์ดี้ถามด้วยความเป็นห่วง
“มันค่อนข้างเหนื่อยแต่มันก็เติมเต็มความฝันของฉันได้ดี เมื่อฉันไปที่ไหนผู้คนก็จะขอให้ฉันร้องเพลง ‘scarborough fair’ พวกเขามีความกระตือรือร้นกับมันมาก และฉันก็ชอบความรู้สึกของการถูกชื่นชมจริงๆ” เอวากล่าว
เขาไม่ได้สงสัยเลยเกี่ยวกับความสวยของเอวา และถ้าจะให้เขาเทียบกับคนในอนาคต
เธอน่าจะเหมือนกับนักแสดงชาวจีนชื่อหลินชิงเสียอย่างแน่นอน
ไม่มีใครต้านทานความสวยและเสียงร้องที่ไพเราะนั้นได้เลย
“ฮาร์ดี้ทำไมนายถึงมาที่นิวยอร์ก? นายตั้งใจจะมาหาฉันหรือเปล่า?” เอวาถามและก็มองไปฮาร์ดี้ด้วยสายตาที่จ้องมองเขา
“ใช่สิ และเธอมีความสุขไหม?”
ปากของฮาร์ดี้นั้นหลอกลวงคนให้ตายได้เลย
เธอแสดงออกทางสีหน้าอย่างมีความสุข และเอวาก็จูบไปที่หน้าอกของฮาร์ดี้พร้อมกับพูดว่า “แม้ฉันจะรู้ว่านายโกหก แต่ฉันก็ชอบฟังมันนะ”
“นี่เป็นการโฆษณาครั้งสุดท้ายใช่ไหม? ฉันจะไปกับเธอด้วยและเมื่อการโฆษณาสิ้นสุดลง เราสองคนจะกลับลอสแอนเจลิสด้วยกัน” ฮาร์ดี้กล่าว
……
วันต่อมา
ฮาร์ดี้โดนไมค์ลากไปที่โรงงานผลิตโทรทัศน์อีกครั้ง เพราะยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ และไมค์ก็ต้องไปที่ธนาคารเพื่อคุยเกี่ยวกับเงินกู้
เอวาและทีมงานโฆษณาไปที่โรงละครแกรนด์เธียเตอร์ในนิวยอร์ก
เอวายืนอยู่บนเวทีมองไปที่โดมและที่นั่งเหล่านั้น
เธอยืนอยู่ตรงกลางเวทีพร้อมกับแสงที่ฉายลงมา
ซึ่งในตอนนี้เธอก็รู้สึกตื่นเต้นกับมันมาก
มันเป็นความฝันของนักร้องหลายคนที่จะได้แสดงในห้องโถงนี้
เธอก็เคยมีความฝันแบบนี้
แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าฝันของเธอจะเป็นจริงในวันนี้
เธอรู้ว่าทั้งหมดนี้ฮาร์ดี้เป็นคนมอบให้เธอ
น่าเสียดายที่ฮาร์ดี้ไปคุยเรื่องธุรกิจไม่อย่างนั้นเธอจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของชายคนนั้นและจูบเขาด้วยความตื่นเต้น
ในเวลาเดียวกันชายคนหนึ่งในวัยสี่สิบก็เดินเข้ามาในห้องโถง
เขาสวมชุดสูทสีขาว ผมที่ได้รับการจัดทรงมาอย่างดี พร้อมกับผู้ช่วยสองคนที่อยู่ข้างหลังเขา
เขาเดินเข้าไปในห้องโถงและก็เห็นเอวา การ์ดเนอร์ที่ยืนอยู่ภายใต้แสงที่ฉายลงมา
เธอดูสูงและสง่างาม มีผมลอนยาวพร้อมกับรูปร่างที่ดูดี
ชายคนนั้นถึงกลับไม่ขยับไปไหน และดวงตาของเขาก็จ้องไปที่เอวา
มองขึ้นไป
“เธอคือเอวาการ์ดเนอร์เหรอ?” ชายคนนั้นถามผู้ช่วยข้างๆ เขา
“ใช่ครับ คุณโรบิน” ผู้ช่วยกล่าว
โรบินยิ้มและก้าวขึ้นไปบนเวที เดินตรงไปที่เอวาด้วยรอยยิ้มที่เขาคิดว่าสง่างามที่สุดและพูดว่า “สวัสดีคุณการ์ดเนอร์ ผมโรบิน”
หลังพูดจบเขาก็ยื่นมือออกไป
โรบินเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในนิวยอร์กและในสหัรฐอเมริกา
ถึงแม้เอวา การ์ดเนอร์จะทำให้หลายๆ คนรู้จักเธอด้วยเพลง ‘scarborough fair’ แต่เธอก็ไม่ได้โด่งดังด้านการร้องเพลงเท่าโรบิน ซึ่งในการโปรโมทที่นิวยอร์กครั้งนี้ ทีมงานได้จ้างให้โรบินเป็นนักร้องนำ แต่ในความเป็นจริงก็คือพวกเขาต้องการใช้ชื่อเสียงของโรบินเพื่อดึงดูดผู้คนให้มากๆ
“สวัสดีค่ะคุณโรบิน” เอวายิ้มอย่างรวดเร็วและยื่นมือออกไป
วันนี้เป็นการดูสถานที่และทำการซ้อมนิดหน่อย ส่วนการแสดงอย่างเป็นทางการจะเริ่มในคืนพรุ่งนี้
ทั้งสองได้ฝึกซ้อมกันอยู่พักหนึ่ง และเอวากำลังจะกลับไปพักผ่อนแต่โรบินกลับหยุดเธอไว้
“คุณเอวา ผมอยากเชิญคุณมาทานอาหารด้วยกัน และผมก็จะพาไปเที่ยวรอบๆ นิวยอร์กเพื่อเพลิดเพลินไปกับวิวยามค่ำคืนนี้ คุณเอวาจะไปกับผมไหมครับ?” โรบินยิ้ม
อวี๋ส่ายหัวอย่างเรียบง่าย “ฉันขอโทษนะคะ พอดีฉันอยากกลับไปพักผ่อน”
พูดจบแล้วเธอก็เดินออกไป
ความคิดของเอวานั้นเรียบง่ายมากเธอมีฮาร์ดี้อยู่แล้ว และตอนนี้เธอก็เป็นของฮาร์ดี้
เธอรู้ตัวตนของเธอเป็นอย่างดี
เธอไม่อยากทำในสิ่งที่ทำให้ฮาร์ดี้เข้าใจผิด
แม้ว่ามันจะเป็นแค่การทานอาหารกับคนอื่นก็ตาม
ซึ่งผู้ชายตรงหน้าเธออาจจะอยากทำอย่างอื่นมากกว่าแค่กินข้าวกับเธอก็ได้
โรบินตกตะลึงกับคำพูดของเธอ
จากชื่อเสียงเงินทองและรูปลักษณ์ของเขา เมื่อเขาได้เชิญผู้หญิงคนไหนส่วนใหญ่พวกเธอก็จะไม่ปฏิเสธ
ทว่านักร้องที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่งกลับปฏิเสธคำเชิญของเขา ซึ่งทำให้โรบินรู้สึกอับอายเล็กน้อย
เขาคิดอยู่พักหนึ่งและก็พบว่าเธอมาจากทีมโฆษณาของเอ็มจีเอ็ม
เขาจึงเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการของเอ็มจีเอ็ม “เอวาเธอช่างหยิ่งจริงๆ เธอไม่ตอบรับคำเชิญทานอาหารของฉัน ดังนั้นพวกคุณก็จะไม่ได้อะไรเหมือนกันและเสียงของฉันช่วงนี้ก็ไม่ค่อยดีด้วยสิ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะขึ้นแสดงคืนพรุ่งนี้ได้ไหม ถ้าฉันไม่มา มันก็อาจจะทำให้การโฆษณาของพวกนายยุ่งเหยิง แต่ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”
โรบินหันกลับไปและจากไปอย่างหยิ่งยโสหลังจากพูดจบ
ผู้อำนวยการโฆษณานิ่งเงียบและเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร
เขาอยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปี และเขาก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เอวากลับไปที่โรงแรม
ซึ่งฮาร์ดี้ยังไม่กลับมา
หญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าหลวมๆ และไปเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำ
ชายคนนั้นสัญญาว่าจะกลับมาหาเธอเพื่อทานอาหารค่ำด้วยกัน
ไม่นานหลังจากนั้น ฮาร์ดี้ก็กลับมาจากด้านนอก
เอวายิ้มและเอากระเป๋าในมือของเขาไปเก็บ “ฉันเตรียมน้ำในอ่างไว้แล้ว พวกเราไปแช่น้ำกันก่อนไหม?”
“ฮ่าๆ ไปสิไปด้วยกัน”
เธอยิ้มและก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
ในขณะเดียวกันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในห้องอย่างกะทันหัน ฮาร์ดี้จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างช้าๆ
“คุณการ์ดเนอร์ใช่ไหม?” เสียงของผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารของเอ็มจีเอ็มดังมาจากโทรศัพท์
“ฉันเองฮาร์ดี้”
“อ่า คุณฮาร์ดี้หรือครับ? ผมกำลังตามหาคุณอยู่พอดีเลย”
“ตามหาฉัน?”
“ใช่ ผมกำลังมองหาคุณอยู่ ผมมีบางอย่างจะรายงานให้คุณทราบ ในช่วงบ่ายระหว่างการฝึกซ้อมของคุณเอวาได้มีนักร้องรับเชิญชื่อโรบินซึ่งพวกเราเป็นคนเชิญเขามาเอง และเขาก็มีปัญหากับคุณเอวาในตอนนี้…” ผู้อำนวยการเล่าให้ฮาร์ดี้ฟังเกี่ยวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในขณะเดี๋ยวกันหน้าประตูห้องน้ำก็แสดงให้เห็นขาคู่หนึ่งที่เรียวยาวสวยงาม พร้อมกับใบหน้าครึ่งหนึ่งที่โผล่ออกมา
เธอกวักนิ้วเรียกฮาร์ดี้อย่างเย้ายวนใจ
ฮาร์ดี้มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและยิ้มขึ้นมา
เขาช่างมีความสุขจริงๆ
ผู้หญิงคนนี้มีเหตุมีผลของเธอ
เธอได้ปฏิเสธผู้ชายคนอื่น เพื่อให้ฮาร์ดี้ชอบเธอขึ้นอีกเล็กน้อย
“โอเค ฉันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาวางหูโทรศัพท์และเดินไปที่ห้องน้ำ
หลังจากเดินเข้ามาในห้องน้ำ เอวาก็ช่วยฮาร์ดี้ถอดเสื้อแล้วลอบถามฮาร์ดี้ว่า “มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอเข้ามาหาฉันสิ!”
ไม่มีความจำเป็นต้องบอกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้กับเธอ
เขาไม่จำเป็นต้องพูดเพราะมันอาจจะส่งผลกระทบกับอารมณ์ของเธอ